การติดเชื้อในลำไส้จากอีโคไล คืออะไร
อีโคไล E. coli (escherichia coli) คือแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของคนและสัตว์ต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม อีโคไลชนิด O157:H7 (E. coli O157:H7) สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในลำไส้ได้ อีโคไลชนิด O157:H7 และชนิดอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดโรคลำไส้อักเสบถูกเรียกว่า Shiga toxin–producing E. coli (STEC) ตามที่พวกมันมีความสามารถในการสร้างท็อกซิน
อาการของภาวะติดเชื้อในลำไส้ คือ ท้องเสีย ปวดท้อง และ มีไข้
ในกรณีที่รุนแรง ผู็ป่วยอาจมีอาการ ถ่ายเป็นเลือด เกิดภาวะขาดน้ำ หรือ ไตล้มเหลว
ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก และผู้สูงอายุมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน
โดยส่วนมาก การติดเชื้อในลำไส้นั้นมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน อาหารที่ปรุงสุก สะอาด สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดการติดเชื้อในลำไส้ได้
อาการป่วยจากการติดเชื้อในลำไส้จากเชื้ออีโคไลส่วนใหญ่สามารถดูแลรักษาได้ที่บ้าน โดยอาการจะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หรือภายใน 1 สัปดาห์
อาการของการติดเชื้อในลำไส้จากเชื้ออีโคไล
โดยปกติแล้ว อาการของการติดเชื้อในลำไส้จะเริ่มแสดงอาการใน 1-10 วันหลังจากได้รับเชื้อ ซึ่งระยะนี้ ถูกเรียกว่าระยะฟักเชื้อ เมื่อแสดงอาการแล้ว จะมีอาการอยู่ประมาณ 5-10 วัน
อาการต่าง ๆ ได้แก่:
-
ปวดเกร็งในช่องท้อง
-
ถ่ายเป็นน้ำฉับพลันและรุนแรง และอาจถ่ายเป็นเลือดได้
-
มีแก๊ส
-
เบื่ออาหาร หรือ คลื่นไส้
-
อาเจียน(พบได้น้อย)
-
มีไข้
อาการเหล่านี้สามารถมีได้ตั้งแต่ 2-3 วัน ไปจนถึงมากกว่า 1 สัปดาห์
อาการจากการติดเชื้ออีโลคไลอย่างรุนแรงอาจมีดังนี้:
-
ภาวะขาดน้ำ
ติดต่อแพทย์ทันทีเมื่อคุณมีอาการที่รุนแรงข้างต้นนี้
จากข้อมูลของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค ประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ติดเชื้อมีอาการ hemolytic uremic syndrome (HUS) ซึ่งเป็นอาการที่เม็ดเลือดแดงแตก สามารถทำให้เกิดไตวายและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและผู้สูงอายุ ปกติแล้ว HUS นั้นจะเกิดขึ้นหลังจากเริ่มท้องเสียประมาณ 5-10 วัน
สาเหตุของการติดเชื้ออีโคไล
โดยปกตินั้น คนและสัตว์จะมีแบคทีเรียนอีโคไลอาศัยอยู่ในลำไส้อยู่แล้ว แต่อีโคไลบางชนิดกลับสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้ แบคทีเรียนอีโคไลชนดที่ทำให้ติดเชื้อนั้นสามารถเข้าสู่ร่างกายของเราได้หลากหลายทาง ดังนี้:
การจัดการอาหารที่ไม่เหมาะสม
ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารที่บ้าน ร้านอาหาร หรือ ร้านขายของชำ การจัดการหรือการเตรียมอาหารที่ไม่ปลอดภัยทำให้เกิดการปนเปื้อนได้ สาเหตุทั่วไปของการปนเปื้อนในอาหารมีดังนี้:
-
ไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนการเตรียมหรือรับประทานอาหาร
-
ใช้เครื่องครัว เขียง หรือจานที่ไม่สะอาด ทำให้เกิดการปนเปื้อนข้ามของสิ่งแปลกปลอม
-
รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของนม เช่น มายองเนส ที่ถูกทิ้งไว้ข้างนอกตู้เย็นนานเกินไป
-
รับประทานอาหารที่ไม่ได้ถูกเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม
-
รับประทานอาหารที่ไม่ได้ถูกปรุงด้วยอุณหภูมิและระยะเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะ เนื้อประเภทต่าง ๆ และสัตว์ปีก
-
รับประทานอาหารทะเลดิบ ๆ
-
ดื่มนมที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ
-
รับประทานอาหารดิบที่ไม่ได้ถูกล้างอย่างถูกต้อง
การแปรรูปอาหาร
ระหว่างขั้นตอนการฆ่า ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปีกและเนื้อต่าง ๆ สามารถได้รับแบคทีเรียมาจากลำไส้ของสัตว์เหล่านั้นได้
นำ้ที่ปนเปื้อน
การมีสุขอนามัยที่ไม่ดีสามารถทำให้น้ำถูกปนเปื้อนด้วยแบคทีเรียนจากสิ่งปฏิกูลของคนหรือสัตว์ได้ เราสามารถติดเชื้อจากน้ำที่ปนเปื้อนได้ทั้งจากการดื่มหรือการว่ายน้ำในน้ำนั้น
จากคนสู่คน
เชื้ออีโคไลสามารถแพร่ได้หากคนที่ติดเชื้อไม่ได้ล้างมือหลังจากขับถ่ายแล้วไปจับผู้อื่นหรือจับอย่างอื่น เช่น อาหาร สถานที่ที่เสี่ยงแก่การติดต่อจากคนสู่คนของเชื้อนี้ คือ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ โรงเรียน และสถานเลี้ยงเด็ก
สัตว์
คนที่ทำงานกับสัตว์ เช่น วัว แพะ และ แกะ มีความเสี่ยงเพิ่มที่จะติดเชื้อ เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำงานสัมผัสกับสัตว์ควรที่ล้างมือให้สะอาดอยู่เป็นประจำ
ควรพบแพทย์เมื่อไหร่
การติดเชื้อในลำไส้สามารถทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ เช่น ไตวาย และในบางครั้งอาจถึงตาย หากไม่ได้รับการรักษา คุณควรจะพบแพทย์เมื่อ:
-
มีอาการท้องเสียและไม่ดีขึ้นหลังจากมีอาการ 4 วัน หรือ 2 วันสำหรับทารกและเด็ก
-
มีไข้ และท้องเสีย
-
อาการปวดท้องไม่ดีขึ้นหลังจากการถ่ายออกไป
-
มีน้ำหนองหรือเลือดปนอยู่ในอุจจาระ
-
อาเจียนมากกว่า 12 ชั่วโมง สำหรับทารกที่อายุต่ำกว่า 3 เดือน ให้ติดต่อกุมารแพทย์ในทันที
-
มีอาการของภาวะติดเชื้อในลำไส้ และกลับมาจากต่างประเทศ
-
มีอาการของภาวะขาดน้ำ เช่น ปัสสาวะน้อย กระหายน้ำมาก เวียนหัว
แพทย์สามารถยืนยันได้ว่าติดเชื้อจากอีโคไลหรือไม่จากการตรวจตัวอย่างอุจจาระ
เราจะป้องกันการติดเชื้ออีโคไลได้อย่างไร
การรับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัยช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคติดเชื้อในลำไส้จากอีโคไลได้
-
ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด
-
หลีกเลี่ยงการปนเปื้อนโดยใช้ เครื่องครัว กระทะ และจานที่สะอาด
-
เก็บเนื้อสดให้ไกลจากอาหารที่สะอาดอย่างอื่น
-
ไม่ละลายน้ำแข็งเนื้อบนโต๊ะ
-
ละลายน้ำแข็งเนื้อในไมโครเวฟหรือตู้เย็น
-
นำอาหารที่เหลือใส่ตู้เย็นทันที
-
ดื่มนมที่ฆ่าเชื่อแล้ว หลีกเลี่ยงการดื่มนมที่ยังไม่ได้ฆ่าเชื้อ
-
ไม่เตรียมอาหารเมื่อมีอาการท้องเสีย
เนื้อจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์ปีกควรจะได้รับการปรุงสุกด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อที่จะฆ่าแบคทีเรียได้ โดยสามารถใช้เครื่องวัดอุณหภูมิตรวจได้ขณะที่ปรุงอาหาร ดังเช่นอุณหภูมิข้างล่างนี้:
-
เนื้อจากสัตว์ปีก: 165˚F (74˚C)
-
เนื้อสับต่าง ๆ ไข่: 160˚F (71˚C)
-
สเต็กส์ พอร์ค ช็อบ เนื้ออบ ปลา หอย: 145˚F (63˚C)
สิ่งง่าย ๆ ที่เราสามารถดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากเชื้ออีโคไลทำได้โดยการล้างมือเป็นประจำ และควรที่จะล้างมือก่อนที่จะทำอาหาร เสิร์ฟ หรือรับประทานอาหาร และโดยเฉพาะหลังจากสัมผัสสัตว์ ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีสัตว์ หรือหลังเข้าห้องน้ำ รักษาความสะอาดและบริโภคอาหารถูกหลักอนามัยจะช่วยให้ความเสี่ยงในการติดเชื้อลดลงได้
ภาวะแทรกซ้อนของการติดเชื้ออีโคไล
Escherichia coli (E. coli) เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วไปในลำไส้ของมนุษย์และสัตว์ แม้ว่าเชื้อ E. coli หลายสายพันธุ์จะไม่เป็นอันตรายและมีประโยชน์ด้วยซ้ำ แต่บางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่นำไปสู่โรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกมันผลิตสารพิษที่เป็นอันตราย หนึ่งในสายพันธุ์ที่รู้จักกันดีที่สุดที่เกี่ยวข้องกับภาวะแทรกซ้อนคือ E. coli O157:H7 ภาวะแทรกซ้อนของการติดเชื้อ E. coli อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ สุขภาพของแต่ละบุคคล และความรุนแรงของการติดเชื้อ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่:- กลุ่มอาการเม็ดเลือดแดงแตก (HUS):นี่เป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะกับการติดเชื้อ E. coli O157:H7 โดยส่วนใหญ่จะส่งผลต่อเด็กและอาจนำไปสู่ภาวะไตวายได้ HUS มีลักษณะเฉพาะคือการทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง จำนวนเกล็ดเลือดต่ำ และไตถูกทำลาย อาจส่งผลให้เกิดภาวะที่คุกคามถึงชีวิตและอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการดูแลแบบประคับประคอง
- ความเสียหายของไต:การติดเชื้อ E. coli โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ก่อให้เกิด HUS อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ไตเฉียบพลันหรือความเสียหายของไตในระยะยาว ภาวะแทรกซ้อนของไตอาจเป็นผลมาจากการปล่อยสารพิษที่ผลิตโดยแบคทีเรีย
- ภาวะขาดน้ำ:การติดเชื้อ E. coli อย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วง อาจทำให้สูญเสียของเหลวอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้เกิดภาวะขาดน้ำ ภาวะขาดน้ำอาจเกี่ยวข้องกับเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และบุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอโดยเฉพาะ
- ภาวะแทรกซ้อนทางเดินอาหาร:การติดเชื้อ E. coli อาจทำให้เกิดอาการตั้งแต่ท้องเสียเล็กน้อยไปจนถึงท้องเสียเป็นเลือดรุนแรง ในบางกรณี การติดเชื้ออาจทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจต้องได้รับการรักษาพยาบาล
- ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท:เชื้อ E. coli บางสายพันธุ์ เช่น E. coli O104:H4 มีความเกี่ยวข้องกับภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท เช่น อาการชัก อย่างไรก็ตามภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้พบได้น้อยมาก
- ภาวะโลหิตเป็นพิษ:ในบางกรณี การติดเชื้อ E. coli อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด (ภาวะโลหิตเป็นพิษ) ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปทั่วร่างกายและทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้
- การแท้งบุตรและการคลอดก่อนกำหนด:สตรีมีครรภ์ที่ได้รับเชื้อ E. coli บางสายพันธุ์มีความเสี่ยงต่อการแท้ง การคลอดก่อนกำหนด หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://www.medicalnewstoday.com/articles/68511
-
https://www.webmd.com/food-recipes/food-poisoning/what-is-e-coli
-
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/e-coli/symptoms-causes/syc-20372058
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team