ความฝัน (Dream) คืออะไร ทำไมคนเราถึงฝันเป็นเรื่องราวและภาพในจิตใจที่คนเราสร้างขึ้นในขณะที่กำลังนอนหลับ พวกเขาอาจรู้สึกสนุกสนาน ตลก โรแมนติก หงุดหงิด หวาดกลัว และแปลกประหลาดได้
ที่มาของความฝันยังคงเป็นเรื่องลึกลับมานาน ความฝันเกิดจากอะไร เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย นักวิทยาศาสตร์ และจิตแพทย์ต่างตั้งคำถามว่าทำไมคนเราจึงฝัน? สาเหตุของฝันคืออะไร คนเราสามารถควบคุมความฝันได้หรือไม่? ความฝันหมายถึงอะไร?
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความฝัน
- บางครั้งเราอาจจำความฝันของตนเองไม่ได้ แต่ส่วนมากคนเราจะฝันประมาณ 3 ถึง 6 ครั้งต่อคืน
- ความฝันจะใช้นานประมาณ 5 ถึง 20 นาที
- ประมาณ 95 % ของความฝันมักถูกลืมเมื่อตื่นนอน
- การฝันช่วยให้เกิดการเรียนรู้ และพัฒนาความทรงจำในระยะยาวได้
- คนตาบอดฝันจากส่วนประกอบทางประสาทสัมผัส ไม่เหมือนกับผู้ที่มองเห็น
สาเหตุของความฝัน
มีหลายทฤษฎีในการหาสาเหตุที่เกิดความฝัน ความฝันเป็นส่วนหนึ่งของวงจรการนอนหลับ หรือเพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ โดยมีคำอธิบายอื่น ดังต่อไปนี้ :- เป็นตัวแทนของความปรารถนา และความต้องการที่ไม่รู้ตัวมาก่อน
- การส่งสัญญาณแบบสุ่มระหว่างสมอง และร่างกายในขณะนอนหลับ
- การรวบรวม และประมวลผลข้อมูลที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน
- เป็นการทำงานรูปแบบหนึ่งของจิตบำบัด
- การประมวลผลหน่วยความจำของสมองแบบออฟไลน์ สมองจะรวบรวมงาน สิ่งที่เรียนรู้และความจำต่าง ๆ เข้าด้วยกัน จากนั้นสนับสนุนและบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เมื่อรู้สึกตัวตื่น
- เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องร้าย ๆ ในอนาคต
- การจำลองความรู้ความเข้าใจของประสบการณ์ชีวิต เนื่องจากความฝันจะย่อยรายละเอียดต่าง ๆ ของความรู้ที่เริ่มตั้งแต่ตื่นนาน เป็นส่วนหนึ่งของจิตใจที่ทำงานในระหว่างฝันกลางวัน
- พัฒนาความสามารถในการเรียนรู้
- สะท้อนจิตสำนึกที่มีอย่างไม่รู้ตัว เพราะเป็นแนวทางของจิตวิเคราะห์
- สภาวะต่าง ๆ ของจิตสำนึกที่รวบรวมประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และอดีตมาประมวลผลให้เกิดประโยชน์ต่อไปในอนาคต
- พื้นที่ทางจิตวิทยาที่ความคิดต่าง ๆ ถูกครอบงำ ขัดแย้ง หรือซับซ้อนกันอย่างมาก แต่สามารถรวบรวมเข้าด้วยกันในฝันได้ ความคิดที่อาจไม่แน่นอนในขณะที่ตื่นอยู่จะถูกตอบสนองด้วยความต้องการ ความสมดุลทางจิตใจ และความเสมอภาค
ขั้นตอนของการนอนหลับ
วงจรการนอนหลับมี 5 ขั้นตอน:- ขั้นที่ 1: ภาวะหลับตื้น ยังคงมีการเคลื่อนไหวของดวงตาอย่างช้า ๆ และการทำงานของกล้ามเนื้อลดลง ขั้นตอนนี้กินระยะเวลา 4 ถึง 5 %ของการนอนหลับทั้งหมด
- ขั้นที่ 2: การเคลื่อนไหวของดวงตาจะหยุดลง และคลื่นสมองทำงานช้าลง อาจมีการกระตุ้นคลื่นให้เพิ่มความเร็วขึ้นเป็นครั้งคราว เรียกว่าภาวะที่คลื่นสมองคงที่ขณะนอนหลับ ระยะนี้กินระยะเวลา 45 ถึง 55 %ของการนอนหลับทั้งหมด
- ขั้นที่ 3: คลื่นสมองเคลื่อนไหวช้ามาก เรียกว่าคลื่นเดลต้า เริ่มปรากฏขึ้นสลับกับคลื่นที่เล็กกว่าและเร็วกว่า คิดเป็น 4 ถึง 6 %ของการนอนหลับทั้งหมด
- ขั้นที่ 4: สมองสร้างคลื่นเดลต้าที่มีลักษณะเฉพาะ เป็นการยากที่จะปลุกให้ตื่นในช่วงของการนอนหลับขั้นที่ 3 และ 4 เรียกว่า “ภาวะหลับลึก” ไม่มีการเคลื่อนไหวของตาหรือกล้ามเนื้อ คนที่ตื่นขึ้นมาในขณะที่กำลังหลับลึกจะไม่สามารถปรับตัวได้ทันที และมักรู้สึกสับสนเป็นเวลาหลายนาทีหลังจากตื่นนอน คิดเป็น 12 ถึง 15 %ของการนอนหลับทั้งหมด
- ขั้นที่ 5: ระยะนี้จะเกิดการเคลื่อนไหวของดวงตาอย่างรวดเร็ว (REM) การหายใจจะเร็วขึ้นและตื้นขึ้น ตากระตุกอย่างรวดเร็วในทิศทางต่าง ๆ และกล้ามเนื้อแขนขาจะเป็นอัมพาตชั่วคราว อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ผู้ชายจะเกิดการแข็งตัวของอวัยวะเพศ หากรู้สึกตัวตื่นในขั้นตอนการนอน REM นี้ มักสามารถบรรยายเรื่องราวที่แปลกประหลาด และไร้เหตุผล สิ่งเหล่านี้ก็คือความฝัน ขั้นตอนการนอนนี้คิดเป็น 20 ถึง 25 %ของเวลานอนทั้งหมด
ความฝันคืออะไร
ความฝันคือประสบการณ์ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นได้ทั่วโลก สามารถอธิบายได้ถึงสภาวะของจิตสำนึกที่มีลักษณะทางประสาทสัมผัส ความรู้ ความเข้าใจ และอารมณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการนอนหลับ ผู้ฝันอาจควบคุมเนื้อหาของภาพที่มองเห็น และการนำหน่วยความจำมาใช้ได้เพียงเล็กน้อย ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับความฝัน ความฝันจุงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาอย่างกว้างขวาง และทำความเข้าใจอีกมาก พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างวิธีการทางประสาทวิทยาศาสตร์ และจิตวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจกับความฝัน นักประสาทวิทยาสนใจโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความฝันขึ้นมา องค์ประกอบของความฝัน และความสามารถในการเล่าเรื่อง ส่วนกรณีของจิตวิเคราะห์จะมุ่งเน้นไปที่ความหมายของความฝัน และความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องราวในอดีตของของผู้ฝัน ความฝันจึงมักเป็นเรื่องราวที่เกิดจากประสบการณ์ เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ และประสบการณ์ที่ดี มีรูปแบบ สิ่งที่เป็นกังวล จำนวนของความฝัน และจุดประสงค์ของการใช้ชีวิตเมื่อตื่น องค์ประกอบเหล่านี้สร้าง “ความเป็นจริง” ที่แตกต่างออกไป โดยไม่ได้สร้างประสบการณ์ใหม่ขึ้นมาภายในกรอบเวลา และการเชื่อมโยงกับชีวิตจริงฝันร้าย
ฝันร้ายคือความฝันที่น่าวิตก ทำให้ผู้ฝันรับรู้ถึงอารมณ์ที่รบกวนจิตใจ ปฏิกิริยาที่พบได้บ่อยเมื่อฝันร้าย คือความกลัว และความวิตกกังวล สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก โดยมีสาเหตุดังต่อไปนี้ :- ความเครียด
- ความกลัว
- การบาดเจ็บ
- ปัญหาทางอารมณ์
- การเจ็บป่วย
- การใช้ยาหรือยาบางชนิด
- ทฤษฏีควบคุมความฝัน
การตีความความฝัน
สิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราก่อนที่เราจะหลับ อาจส่งผลต่อสิ่งที่ฝันได้ ตัวอย่างเช่นในช่วงที่มีการสอบนักเรียนอาจฝันถึงเนื้อหาของหลักสูตร คู่รักอาจฝันถึงคู่ของพวกเขา นักพัฒนาเว็บไซด์อาจเห็นโค้ดการเขียนโปรแกรม หากพิจารณาจากสถานการณ์เหล่านี้ จะพบว่าองค์ประกอบจากชีวิตประจำวันจะปรากฏขึ้นอีกครั้งในลักษณะของภาพฝัน มักเกิดขึ้นในช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนจากการตื่นไปสู่การนอนหลับตัวละครในความฝัน
- การศึกษาพบว่า “ตัวละคร” ที่ปรากฏในความฝัน และวิธีที่ผู้ฝันระบุถึงตัวละครเหล่านั้นมีลักษณะเฉพาะ
- การศึกษาความฝันของผู้ใหญ่ 320 คนพบว่า:
- 48% ของตัวละครคือตัวแทนของบุคคลที่ผู้ฝันรู้จัก
- 35% คือตัวละครที่ระบุขึ้นจากบทบาททางสังคมของพวกเขา (เช่นตำรวจ) หรือความสัมพันธ์กับผู้ฝัน (เช่นเพื่อน)
- 16% คือตัวละครที่ไม่รู้จัก
- ในบรรดาตัวละครที่รู้จักชื่อ:
- 32% จะถูกระบุโดยรูปลักษณ์
- 21% จะถูกระบุโดยพฤติกรรม
- 45% จะถูกระบุด้วยใบหน้า
- 40% ถูกระบุโดย “แค่รู้จัก”
- อีก 14% คือองค์ประกอบที่สับสนระหว่างตัวละครที่มีชื่อ และตัวละครทั่วไป
- การศึกษายังพบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์ในความฝัน กับการระบุตัวตนของตัวละครในฝัน
- ความรักและความสุขมักเกี่ยวข้องกับตัวละครที่รู้จัก และถูกใช้ระบุตัวละครอย่างชัดเจน แม้ว่าบางครั้งเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้จะไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในขณะที่ตื่น
- ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้า ส่วนหลังนั้นเกี่ยวข้องกับความจำระยะสั้น ซึ่งจะถูกใช้งานน้อยกว่าในขณะที่กำลังฝัน ส่วนบริเวณลิมบิกที่เป็นเซลล์ต้นกำเนิดและสมองชั้นล่างจะถูกใช้งานมากกว่า
ความทรงจำ
แนวคิดเรื่อง “การควบคุมความฝัน” มีมาตั้งแต่สมัยของฟรอยด์ ฟรอยด์ยืนยันว่าความทรงจำที่ไม่พึงปรารถนาอาจถูกเก็บกดไว้ในจิตใจ ความฝันจะคลายสิ่งที่กดเอาไว้ และปลดปล่อยความทรงจำเหล่านั้นกลับคืนมา การศึกษาพบว่าการนอนหลับไม่ช่วยลืมความทรงจำที่ไม่ต้องการได้ แต่การนอนหลับ REM จะลดความสามารถในการเก็บความทรงจำเหล่านั้น ทำให้สามารถเรียกกลับคืนมาได้ง่ายขึ้น ลักษณะ 2 ประการระหว่างผลกระทบที่เกิดขึ้นชั่วคราวกับความทรงจำที่ปรากฎในความฝัน:- ผลกระทบตกค้างที่เกี่ยวกับการรวบรวมเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวันก่อน
- ผลกระทบจากความฝันที่ล้าช้า เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดมานานกว่า 1 สัปดาห์
- การประมวลผลความทรงจำเพื่อปรากฎเป็นความฝันอาจใช้เวลาประมาณ 7 วัน
- กระบวนการของความฝันจะช่วยเสริมความสามารถในการปรับตัวทางสังคม อารมณ์ และความทรงจำเข้าด้วยกัน
ความฝันที่ล้าช้า
ความฝันที่ล่าช้า คือภาพจากประสบการณ์หรือผู้คนที่ปรากฏในความฝันที่มาจากประสบการณ์ หรือบุคคลที่ได้พบเมื่อเร็ว ๆ นี้ อาจเป็นวันก่อนหน้า หรือเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน ความฝันแบบนี้คือการนำประสบการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นมานาน 1 สัปดาห์มาเรียบเรียงให้กลายเป็นความทรงจำระยะยาว และภาพบางส่วนจะถูกรวบรวมจนปรากฏขึ้นในความฝัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะตื่น จะพบในความฝันได้ตั้งแต่ 1 ถึง 2 % และพบว่าความฝัน 65 % จะแสดงถึงประสบการณ์ชีวิตในขณะที่ตื่น มีรายงานความฝันที่ล่าช้ามักเกิดขึ้นในระยะการนอน REM แต่ไม่พบในระยะที่ 2 ของการนอนประเภทของความทรงจำและความฝัน
ความจำ 2 ประเภทที่ถูกใช้เป็นพื้นฐานของความฝันได้แก่:- ความทรงจำเกี่ยวกับอัตชีวประวัติหรือความทรงจำที่ยาวนานของตนเอง
- ความทรงจำเป็นช่วง ๆ เป็นความทรงจำเกี่ยวกับช่วง หรือเหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจง
- ความฝันส่วนหนึ่ง (0.5 %) มาจากความจำเป็นช่วง ๆ
- ความฝันส่วนมาก (80 %) เป็นการผสมผสานระหว่างความจำกับอัตชีวประวัติในระดับต่ำถึงปานกลาง
รูปแบบความฝัน
รูปแบบความฝันสามารถเชื่อมโยงกับการจัดการความคิดที่ไม่เป็นที่ต้องการได้ และเกิดจากความคิดที่ถูกกักเก็บเอาไว้ในความฝัน การทดสอบให้ผู้รับการทดสอบ 15 คน ระงับความคิดต่าง ๆ ก่อนนอน 5 นาที ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าความฝันที่เกี่ยวกับความคิดที่ไม่ต้องการ และความฝันที่น่าหวาดวิตกมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังบ่งบอกถึงความคิดที่ถูกเก็บกดเอาไว้ อาจนำไปสู่อาการทางจิตได้อย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยชี้ว่าสิ่งเร้าภายนอกที่เกิดขึ้นระหว่างการนอนหลับอาจส่งผลต่อเนื้อหาทางอารมณ์ของความฝัน ตัวอย่างเช่น การกระตุ้นด้วยดอกกุหลาบจะสร้างรูปแบบความฝันในเชิงบวกได้ แต่หากเป็นไข่เน่าก็จะทำให้เกิดรูปแบบความฝันเชิงลบมากขึ้น รูปแบบความฝันทั่วไปมักมีความคล้ายคลึงกันในคนหมู่มากได้ จากการศึกษารูปแบบของความฝันจากการทำแบบสอบถาม สามารถจัดอันดับของ 55 รูปแบบความฝันที่พบได้ทั่วไป ดังนี้:- โรงเรียน ครู และการศึกษา
- ถูกไล่ล่า หรือถูกไล่ตาม
- ประสบการณ์ทางเพศ
- การหกล้ม
- การเดินทางล่าช้า
- ผู้ที่กำลังจะตาย
- ฝันเห็นคนที่ตายไปแล้วยังมีชีวิตอยู่
- การบินหรือทะยานขึ้นไปในอากาศ
- ผลสอบไม่ผ่าน
- รู้สึกใกล้ตกจากที่สูง
- ตกอยู่ในความหวาดกลัว
- ถูกทำร้ายร่างกาย
- เปลือยเปล่า
- กินอาหารอร่อย ๆ
- ว่ายน้ำ
- ถูกกักขัง
- แมลงหรือแมงมุม
- ถูกฆ่า
- ฟันหลุด
- ถูกมัดรั้ง หรือขยับไม่ได้
- แต่งตัวไม่เหมาะสม
- เป็นเด็กอีกครั้ง
- พยายามทำงานให้สำเร็จ
- ไม่สามารถหาห้องน้ำได้ หรือรู้สึกอับอายที่ขับถ่ายไม่ทัน
- ค้นพบห้องใหม่ในบ้าน
- มีความรู้หรือความสามารถทางจิตที่เหนือกว่า
- สูญเสียการควบคุมยานพาหนะ
- ไฟ
- สัตว์ป่าดุร้าย
- เห็นใบหน้าของคนใกล้ชิด
- งู
- มีพลังวิเศษ
- การรับรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ชัดเจน แต่อาจมองไม่เห็นหรือได้ยินแต่เสียง
- ค้นพบเงินทอง
- น้ำท่วม หรือคลื่นยักษ์
- ฆ่าใครบางคน
- เห็นว่าตัวเองตาย
- ครึ่งหลับครึ่งตื่น และรู้สึกเป็นอัมพาตอยู่บนเตียง
- ผู้คนมีพฤติกรรมที่น่ากลัว
- เห็นตัวเองในกระจก
- กลายเป็นคนเพศตรงข้าม
- หายใจไม่ออก
- เผชิญหน้ากับพระเจ้าในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
- เห็นวัตถุบางอย่างบินตกลงมา
- แผ่นดินไหว
- เห็นนางฟ้า เทวดา
- กลายเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของสัตว์ และคนแต่มีชีวิต
- พายุทอร์นาโด หรือลมแรง
- กำลังดูหนัง
- เห็นมนุษย์ต่างดาว
- เดินทางไปยังดาวดวงอื่น
- กลายเป็นสัตว์
- เห็นยูเอฟโอ
- เห็นคนที่แท้ง หรือคลอดลูก
- กลายเป็นวัตถุ
รูปแบบความฝันมักเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ตัวอย่างในช่วงปีพ.ศ. 2499 ถึงปี 2543 มีผู้รายงานว่าบินในความฝันเพิ่มขึ้น สะท้อนเหตุการณ์โดยสารทางอากาศที่เพิ่มมากขึ้นความหมายของความฝัน
- ความสัมพันธ์: ความฝันที่ระบุถึงการตกหล่นของวัตถุ ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย การหกล้ม หรือถูกไล่ล่า แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ขัดแย้ง
- แนวคิดเรื่องเพศ: แสดงถึงประสบการณ์ทางเพศ การหาเงิน และการกินอาหารอร่อย ๆ ที่เกิดจากแรงจูงใจทางเพศ
- เรื่องที่สร้างความอับอาย: ความฝันเกี่ยวกับการเปลือยกาย สอบตก มาสาย ฟันหัก และการแต่งกายไม่เหมาะสม เกิดจากความกังวลทางสังคม และสิ่งที่ทำให้อับอาย
กิจกรรมของสมองและประเภทของความฝัน
ผลการศึกษาการทำงานของสมองในระบบประสาทระหว่างการนอนหลับ REM นักวิทยาศาสตร์พบว่าการทำงานของสมองอาจเชื่อมโยงกับลักษณะเฉพาะของความฝัน ความฝันแปลก ๆ มักมีความคล้ายคลึงกับกลุ่มอาการทางประสาทวิทยาที่เกิดเมื่อสมองได้รับความเสียหาย เช่น การระบุใบหน้าและสถานที่ที่ผิดพลาดความฝันและความรู้สึก
ความฝันของผู้ที่มีอาการปวดศีรษะ พบว่าผู้ที่เป็นไมเกรนจะฝันถึงรสชาติและกลิ่นเพิ่มขึ้น สิ่งนี้อาจแสดงถึงบทบาทของโครงสร้างสมอง อย่าง อะมิกดาลา และไฮโปทาลามัสที่เกี่ยวข้องกับการเกิดไมเกรน การนอนหลับ และความฝัน ดนตรีในความฝัน วิทยาศาสตร์แทบไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับวรรณกรรม แต่การศึกษานักดนตรีมืออาชีพ 35 คนและผู้ที่ไม่ใช่นักดนตรี 30 คน นักดนตรีจะฝันถึงดนตรีมากกว่า 2 เท่า ความถี่ในการฝันเรื่องดนตรี ยังสัมพันธ์กับระยะเวลาที่เรียนรู้ หรือสอนดนตรี แต่ไม่สัมพันธ์กับกิจกรรมทางดนตรีในแต่ละวัน บางคนยังสามารถประพันธ์เพลงใหม่ในความฝันได้ความเจ็บปวด
ความฝันแสดงให้เห็นว่าความรู้สึกเจ็บปวดที่เสมือนจริง นั้นสามารถสัมผัสได้ในความฝัน ผ่านการเหตุการณ์ต่าง ๆ รวมกัน หรือเกิดจากความทรงจำที่เจ็บปวดในขณะนั้น พบว่าผู้ที่มีสุขาภพดีจะคิดถึงความเจ็บปวดน้อยกว่าผู้ที่มีอาการเจ็บป่วย จากการศึกษาด้วยการสัมภาษณ์เหยื่อไฟไหม้ 28 รายเป็นเวลา 5 วันติดต่อกันในช่วงสัปดาห์แรกของการรักษาในโรงพยาบาล ผลลัพธ์แสดงให้เห็น:39% ฝันถึงความเจ็บปวด
ผู้ที่ฝันถึงความเจ็บปวด 30 % เป็นเรื่องราวที่ทำให้เจ็บปวด
ผู้ป่วยที่มีอาการปวดฝันแสดงให้เห็นถึงการนอนหลับที่ลดลงฝันร้ายมากขึ้นการรับประทานยาลดความวิตกกังวลในปริมาณที่สูงขึ้นและคะแนนที่สูงขึ้นต่อผลกระทบของระดับเหตุการณ์ ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บปวด มีแนวโน้มที่จะฝันถึงความเข็บป่วยที่รุนแรงมากขึ้นในระหว่างการรักษา มากกว่า 50% ไม่พบความฝันที่เจ็บปวด ผลการทดสอบนี้ บ่งบอกว่าความฝันที่เจ็บปวดพบได้บ่อยในผู้ที่กำลังประสบกับความเจ็บปวดมากขึ้นการตระหนักรู้ในตนเอง
การศึกษาชิ้นหนึ่งพบความเชื่อมโยงจากคลื่นสมอง frontotemporal gamma EEG กับการตระหนักรู้ในความฝัน การศึกษาพบว่าการกระตุ้นในปัจจุบันในแถบคลื่นแกมมาที่ต่ำ ๆ ในระหว่างการนอนหลับ REM มีผลต่อการทำงานของสมองและกระตุ้นให้เกิดการรับรู้ด้วยตนเองในความฝัน นักวิจัยสรุปว่าจิตสำนึกในความฝันสัมพันธ์กับการสั่นสะเทือนของคลื่นที่ความถี่ 25 และ 40 Hzความสัมพันธ์
งานวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นถึงสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบความสัมพันธ์ที่โรแมนติก และเรื่องที่ฝัน ผลการประเมินจากผู้เข้าร่วม 61 คนที่มีการออกเดทถายในระยะเวลา 6 เดือนหรือนานกว่านั้น จะแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและมั่นคง มักฝันเกี่ยวกับคู่รักที่โรแมนติกมากขึ้น การประเมินนี้ช่วยให้เกิดความเข้าใจในเรื่องของจิตใจกับระยะเวลาของความสัมพันธ์ความตายในความฝัน
นักวิจัยได้ติดตามความฝันของผู้เข้ารับการรักษษที่สถานบำบัดจิตเวชเนื่องจากเคยพบว่าความฝันของพวกเขาในจะสัมพันธ์กับประสบการณ์ต่าง ๆ ดังนี้:- ภาวะซึมเศร้าและความคิดอยากฆ่าตัวตาย
- ซึมเศร้า แต่ไม่คิดฆ่าตัวตาย
- การกระทำที่รุนแรง แต่ไม่คิดฆ่าตัวตาย
สมองซักซ้ายและขวา
สมองซีกขวาและซีกซ้ายมีส่วนในการสร้างความฝันในรูปแบบต่าง ๆ จากงานวิจัยพบว่าสมองซีกซ้ายจะทำให้เกิดความฝัน สมองซีกขวาจะสร้างสีสันให้ความฝันเป็นรูปเป็นร่าง และกระตุ้นอารมณ์มากขึ้น การศึกษาวัยรุ่นอายุ 10 ถึง 17 ปีพบว่าผู้ที่ถนัดซ้ายมีแนวโน้มที่ฝันได้ชัดเจนและจดจำความฝันได้ดีการลืมความฝัน
การศึกษาการทำงานของสมองพบว่าคนส่วนมากที่อายุมากกว่า 10 ปีจะฝันประมาณ 4 ถึง 6 ครั้งในแต่ละคืน แต่บางคนก็จำความฝันไม่ได้ 5 นาทีหลังจากฝัน ผู้คนก็จะลืมไปแล้วว่าฝันถึงอะไร 50% และเพิ่มขึ้นเป็น 90% ในอีก 5 นาทีต่อมา ความฝันส่วนมากจะถูกลืมไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อรู้สึกตัวตื่น แต่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมจึงไม่สามารถจำความฝันได้ ขั้นตอนช่วยให้จำความฝันได้ ได้แก่ :- ตื่นขึ้นเอง โดยไม่ใช่เสียงปลุก
- มุ่งเน้นไปยังเรื่องที่ฝันให้มากที่สุด เมื่อตื่น
- เขียนเกี่ยวกับเรื่องที่ฝันให้มากที่สุด เมื่อตื่น
- บันทึกความฝันให้เป็นกิจวัตร
ผู้ที่จดจำความฝันได้คือใคร
ปัจจัยที่ทำให้ฝันมีส่วนทำให้ผู้คนจำความฝันของเขาได้ อายุ: เมื่อเวลาผ่านไปบุคคลมีแนวโน้มที่จะมีการเปลี่ยนแปลงของเวลานอนโครงสร้างและคลื่นสมองไฟฟ้า (EEG) พบว่าความจำในเรื่องที่ฝันจะลดลงเรื่อย ๆ เมื่ออายุมากขึ้น แต่ไม่ใช่ในกรณีที่เป็นผู้สูงอายุ ความรุนแรงในเรื่องที่ฝันก็จะลดน้อยลงด้วย ผู้ชายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าผู้หญิง และความแตกต่างทางเพศยังส่งผลต่อเรื่องที่ฝัน เพศ: การศึกษาความฝันของผู้ชาย 108 คน และผู้หญิง 110 คน พบว่าไม่มีความแตกต่างเรื่องความก้าวร้าว ความเป็นมิตร หรือเพศของตัวละคร หรือเสื้อผ้าที่อยู่ในความฝัน อย่างไรก็ตามความฝันของผู้หญิงมักมีสมาชิกของครอบครัว อย่างเด็ก และสถานที่ในร่มมากกว่าผู้ชาย ความผิดปกติของการนอนหลับ: ความฝันอาจมากขึ้นเมื่อเกิดอาการนอนไม่หลับ และความฝันจะแสดงถึงความเครียดที่เผชิญอยู่ ความฝันของผู้ที่มีอาการง่วงนอนอาจเป็นแปลกประหลาด และไม่ดีมากขึ้นความฝันและความเป็นอยู่ที่ดี
การศึกษาพบว่าการระลึกถึงความฝันและเนื้อหาในฝันจะสะท้อนความสัมพันธ์ทางสังคมของผู้คนได้ จากการศึกษาอาสาสมัครนักศึกษาเพื่อประเมินความฝันกับคุณภาพชีวิต ผู้เข้าร่วมได้จัดระดับความฝันและรายงานความฝันพบว่า:- รายงานความฝัน
- ฝันบ่อย
- สัมผัสกับภาพที่สื่อถึงอารมณ์รุนแรงในความฝัน
- รายงานความฝัน
- รายงานความฝันด้วยเรื่องราวที่มากกว่า
ใครฝันบ้าง
ทุกคนล้วนมีความฝัน แม้ว่าเราจะจำความฝันไม่ได้ ช่วงเวลาต่าง ๆ ของชีวิตจะทำให้ความฝันเปลี่ยนไปได้ความฝันของเด็ก
การศึกษาความฝันของเด็ก 103 คนอายุ 9 ถึง 11 ปี มีข้อสังเกตดังต่อไปนี้:- เด็กหญิงมักมีความฝันถึงเรื่องที่วิตกกังวลมากกว่าเด็กชาย แม้ว่าจะจำความฝันไม่ค่อยได้
- เด็กหญิงฝันมากกว่าเด็กชาย เมื่อเกิดการสูญเสียคนรู้จัก การหกล้ม เรื่องที่รบกวนใจ การเข้าสังคม สัตว์เลี้ยง หรือความก้าวร้าวของสมาชิกในครอบครัว หรือผู้ที่เขารู้จักหรือไม่ก็ได้
หญิงตั้งครรภ์
ความฝันของหญิงตั้งครรภ์และไม่ได้ตั้งครรภ์ พบความแตกต่างดังนี้:- การระบุรายละเอียดของทารก และเด็กมีความเฉพาะเจาะจงน้อยกว่าในหญิงที่ยังไม่ได้ตั้งครรภ์ หญิงที่อายุครรภ์มากจะฝันมากขึ้น
- หญิงตั้งครรภ์มักฝันถึงการตั้งครรภ์ การคลอดบุตรและทารกในครรภ์
- ฝันเรื่องการคลอดบุตรสูงขึ้นตามอายุครรภ์
- หญิงตั้งครรภ์มีจะฝันแปลก ๆ กว่าหญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์
ผู้ทำหน้าที่ดูแล
ผู้ที่ให้การดูแลครอบครัวหรือผู้ที่เจ็บป่วยมานาน มักฝันเกี่ยวกับบุคคลที่ดูแลอยู่ การศึกษาตามความฝันของผู้ใหญ่ที่ทำงานเป็นเวลาประมาณ 1 ปีในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ พบว่า: ความฝันจะเกี่ยวข้องกับผู้ที่ได้รับการดูแลอย่างชัดเจน และโดยปกติเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ความฝันของผู้ดูแลเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วย แต่บางครั้งก็เกิดจากความผิดหวังที่ไม่สามารถดูแลได้ดีเท่าที่ควรการสูญเสีย
เชื่อกันว่าความฝันที่กักเก็บเอาไว้มักเกิดกับผู้ที่กำลังเผชิญกับการสูญเสีย การศึกษาวิเคราะห์คุณภาพของความฝันตลอดจนการเชื่อมโยงความฝันที่เกิดจากความสูญเสียนั้นมีดังนี้:- ความฝันถี่มากในปีแรกของการสูญเสีย
- มีแนวโน้มถี่มากขึ้นในกรณีที่ผู้ฝันมีอาการหวาดวิตก และซึมเศร้า
ในการศึกษาอื่นที่มีผู้ที่มีความสูญเสีย 278 คน:
58% ความฝันเรื่องของการสูญเสียคนที่รักไป ด้วยความถี่ที่แตกต่างกัน ผู้เข้าร่วมส่วนมากมีความฝันที่ดี หรือดีและไม่ดีผสมกัน และมีบางคนที่ฝันแต่เรื่องที่รบกวนจิตใจ รูปแบบความฝันหลากหลาย ได้แก่ ความทรงจำ เหตุการณ์ในอดีตที่ดีของผู้เสียชีวิต ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ผู้ตาย หรือช่วงเวลาแห่งความตายผู้เสียชีวิต ชีวิตหลังความตายที่ดูสบายและสงบ และผู้เสียชีวิตติดต่อสื่อสารด้วย 60% ความฝันแสดงถึงผลกระทบต่อกระบวนการสูญเสียตวามฝันมีสีหรือไม่
จากการศึกษาวิจัยพบว่า :- ประมาณ 80 % ของผู้ที่อายุน้อยกว่า 30 ปีความฝันจะมีสีสัน
- เมื่ออายุ 60 ปี 20 % มีความฝันที่มีสีสัน
- กรณีอายุ 20, 30 และ 40 ปี มีความฝันที่มีสีสันมากขึ้น ในช่วงปี 1993 ถึงปี 2009 นักวิจัยคาดการณ์ว่าสัมพันธ์กับบทบาทของโทรทัศน์สีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นความแตกต่างของยุคสมัย
- ผู้สูงอายุพบว่าความฝันมีทั้งสีสัน และขาวดำ แต่เห็นเป็นภาพได้ชัดเจนเท่า ๆ กัย แต่กรณ๊ที่อายุยังน้อยจะพบว่าความฝันสีดำ ขาว ให้ภาพที่คุณภาพต่ำกว่า
ความฝันทำนายอนาคตได้หรือไม่
ความฝันบางอย่างอาจเหมือนตำทำนายเหตุการณ์ในอนาคต นักวิจัยพบว่าไม่มีหลักฐานยืนยันถึงความว่าเป็นไปได้นี้ ส่วนใหญ่มากเกิดจากความบังเอิญ ความทรงจำที่ผิดพลาด หรือจิตไร้สำนึกที่เชื่อมโยงข้อมูลที่ทราบเข้าด้วยกัน ความฝันช่วยให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มเติม ด้านความรู้สึก ความเชื่อ และค่านิยม ภาพและสัญลักษณ์ที่ปรากฏในความฝันมีความหมายและความเชื่อมโยงแบบเฉพาะเจาะจงในแต่ละคน ผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจกับความฝัน ควรพิจารณาว่าความฝันนั้นมีความหมายกับพวกเขาอย่างไรเป็นกรณี ๆ ไป หนังสือหรือคู่มือที่ให้ความหมายต่อรูปภาพ และสัญลักษณ์นั้นอาจไม่ถูกต้องเสมอไปการเลิกยา
การศึกษาพบว่าความฝันของผู้ติดโคเคนและเสพเป็นประจำ หรืออยู่ช่วงที่กำลังเลิกยา จะมีความฝันดังนี้: เกือบ 90 % พบว่าจะฝันเกี่ยวกับยาเสพติดในช่วงเดือนแรก โดยมากเป็นเรื่องการใช้ยา เกือบ 61 % ฝันเกี่ยวกับยาเสพติดเมื่อเลิกยาไปได้ 6 เดือน ส่วนมากเป็นการใช้หรือการเลิกยาผู้ที่มองไม่เห็นและการสูญเสียการได้ยิน
ผู้ที่สูญเสียการมองเห็นโดยสิ้นเชิงจะเห็นภาพในฝันน้อยกว่าผู้ที่มองเห็น ผู้ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่เกิดจะฝันในลักษณะของการได้ยิน การสัมผัส ความตื่นเต้น และการดมกลิ่นมากกว่าผู้ที่มองเห็น ความสามารถในการมองเห็นไม่ส่งผลต่อเนื้อหาของอารมณ์และความฝันผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย
- งานวิจัยผู้ที่มีร่างกายบกพร่อง 14 คนโดยเป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมอาการอัมพาต 4 และผู้ที่ไม่สามารถได้ยินหรือพูดได้ 10 คน
- อาการหูหนวก: เมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ 36 คน พบว่าประมาณ 80 % ของความฝันของผู้ที่มีอาการหูหนวกไม่พบบ่งข้อบกพร่องของพวกเขาใรความฝัน
- หลายคนพูดได้ในความฝัน และคนอื่นก็สามารถได้ยินและเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
- ผู้เป็นอัมพาตครึ่งล่าง: ความฝันของผู้ที่เป็นอัมพาตคือความสามารถในการเดิน วิ่ง หรือว่ายน้ำในความฝันซึ่งไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต
- การศึกษากับคน 15 คนที่เกิดมาพร้อมกับอาการอัมพาต หรือเป็รแัมพาตเนื่องจากการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง
- พบว่าผู้มีอาการอัมพาต 14 คน ฝันว่าพวกเขาเคลื่อนไหวร่างกาย และเดินได้
- งานวิจัยอื่น ๆ ชี้ให้เห็นว่าสมองมีความสามารถในการกำหนดรูปแบบที่สร้างประสบการณ์ชีวิต เลียนแบบผู้ที่แขน ขาและประสาทสัมผัสทำงานได้ปกติ
- ผู้ที่เกิดมาไม่ได้ยิน หรือเคลื่อนไหวไม่ได้ มีแนวโน้มที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาไม่สามารถทำได้มาก่อน
วิธีป้องกันฝันร้าย
ฝันร้ายสามารถสร้างความเจ็บปวดและรบกวนการนอนหลับของคุณได้ แต่ก็มีวิธีที่คุณสามารถใช้เพื่อลดโอกาสที่จะประสบฝันร้ายได้ คำแนะนำบางส่วนที่จะช่วยป้องกันฝันร้ายมีดังนี้-
รักษาตารางการนอนหลับให้สม่ำเสมอ :
-
-
- เข้านอนและตื่นเวลาเดิมทุกวัน แม้แต่วันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งจะช่วยควบคุมนาฬิกาภายในร่างกายและอาจช่วยลดการเกิดฝันร้ายได้
-
-
สร้างกิจวัตรการเข้านอนที่ผ่อนคลาย :
-
-
- ทำกิจกรรมสงบสติอารมณ์ก่อนนอน เช่น อ่านหนังสือ ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย (เช่น การหายใจลึกๆ การทำสมาธิ) หรือการอาบน้ำอุ่น กิจกรรมเหล่านี้สามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลที่อาจนำไปสู่ฝันร้ายได้
-
-
จำกัดการเปิดเผยเนื้อหาที่ตึงเครียดหรือน่ากลัว :
-
-
- หลีกเลี่ยงการดูหรืออ่านเนื้อหาที่น่าวิตกหรือมีความรุนแรงก่อนนอน เนื่องจากอาจส่งผลต่อเนื้อหาในฝันของคุณได้
-
-
สร้างสภาพแวดล้อมการนอนหลับที่สะดวกสบาย :
-
-
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าห้องนอนของคุณเอื้อต่อการนอนหลับพักผ่อน ซึ่งรวมถึงการมีที่นอนและหมอนที่สะดวกสบาย การรักษาห้องให้มีอุณหภูมิที่สะดวกสบาย และลดเสียงรบกวนและแสงสว่างให้เหลือน้อยที่สุด
-
-
จำกัดสารกระตุ้นและแอลกอฮอล์ :
-
-
- ลดหรือเลิกการบริโภคคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาก่อนเข้านอน สารเหล่านี้สามารถรบกวนรูปแบบการนอนหลับและนำไปสู่ความฝันที่ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมถึงฝันร้ายด้วย
-
-
จัดการความเครียดและความวิตกกังวล :
-
-
- มีส่วนร่วมในเทคนิคการลดความเครียดในระหว่างวัน เช่น การออกกำลังกาย การมีสติ หรือการพูดคุยกับนักบำบัดหากจำเป็น การจัดการความเครียดและความวิตกกังวลสามารถช่วยลดโอกาสที่จะฝันร้ายได้
-
-
ติดตามอาหารของคุณ :
-
-
- หลีกเลี่ยงอาหารมื้อหนักหรือเผ็ดในช่วงใกล้เวลานอน เพราะอาจทำให้รู้สึกไม่สบายและส่งผลต่อการนอนหลับของคุณได้ นอกจากนี้อย่าเข้านอนด้วยความหิวหรืออิ่มจนเกินไป
-
-
จำกัดการงีบหลับ :
-
-
- แม้ว่าการงีบหลับช่วงสั้นๆ จะทำให้สดชื่นได้ แต่การงีบหลับในตอนกลางวันเป็นเวลานานๆ หรือไม่สม่ำเสมออาจรบกวนการนอนหลับตอนกลางคืน และนำไปสู่ความฝันที่สดใสยิ่งขึ้น รวมถึงฝันร้ายด้วย
-
-
แก้ไขปัญหาพื้นฐาน :
-
-
- หากฝันร้ายยังคงอยู่และรบกวนชีวิตประจำวันของคุณ ลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ฝันร้ายอาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางจิตที่ซ่อนอยู่ เช่น โรคความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD) หรือความวิตกกังวลที่อาจต้องได้รับการรักษา
-
-
หลีกเลี่ยงยาบางชนิดใกล้เวลานอน :
-
- ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ซึมเศร้าบางชนิด อาจทำให้ฝันชัดเจนขึ้นได้ ปรึกษากับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณเกี่ยวกับระยะเวลาในการรับประทานยาหากคุณสงสัยว่าอาจส่งผลต่อความฝันของคุณ
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.webmd.com/sleep-disorders/dreaming-overview
- http://dreamchallenges.org/
- https://www.verywellmind.com/why-do-we-dream-top-dream-theories-2795931
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น