แผลเบาหวานเท้า (Foot ulcers) คือ ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยของโรคเบาหวานที่ไม่ได้รับการควบคุมที่ดี เป็นผลมาจากการที่เนื้อเยื่อผิวหนังแตกตัว และเผยให้เห็นชั้นใต้ ส่วนใหญ่มักจะเกิดแผลอยู่ใต้นิ้วเท้า และเท้าของผู้ป่วยและอาจส่งผลไปถึงกระดูก
ผู้ป่วยโรคเบาหวานทุกคนสามารถเกิดแผลที่เท้านี้ได้ แต่การดูแลเท้าที่ดีสามารถช่วยป้องกันได้ การรักษาแผลที่เท้าจากเบาหวาน และอาการปวดเท้าจะแตกต่างกันไป โปรดปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง เนื่องจากแผลที่ติดเชื้ออาจส่งผลให้ต้องตัดแขนหรือขาได้
การจำแนกอาการ และการวินิจฉัย
สัญญาณแรกของแผลที่เท้าจากเบาหวาน คือ การมีน้ำออกจากเท้าซึ่งอาจทำให้ถุงเท้าหรือรองเท้าเปื้อน อาการบวมที่ผิดปกติ ระคายเคือง รอยแดงและกลิ่นจากเท้าเป็นอาการเริ่มต้นของแผลที่เท้าจากเบาหวาน สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของแผลที่เท้ารุนแรง คือ เนื้อเยื่อสีดำรอบ ๆ แผล เกิดจากการที่เลือดไม่ไหลเวียนไปยังบริเวณรอบ ๆ แผล ทำให้แผลเน่าบางส่วนหรือทั้งหมด ซึ่งเกิดจากการตายของเนื้อเยื่อ เนื่องจากการติดเชื้อ ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด ชา และส่งกลิ่น สัญญาณของแผลที่เท้าบางครั้งไม่แสดงอาการของแผลจนกว่าแผลจะติดเชื้อ หากเริ่มเห็นการเปลี่ยนสีของผิวหนัง โดยเฉพาะเนื้อเยื่อรอบแผลที่เปลี่ยนเป็นสีดำ หรือรู้สึกเจ็บบริเวณที่มีอาการคัน ควรพบแพทย์โดยทันที แพทย์จะทำการประเมินความรุนแรงไว้ 3 ระดับด้วยกัน- ไม่มีแผล แต่เท้าเริ่มมีความเสี่ยง
- มีแผล แต่ไม่มีการติดเชื้อ
- มีแผลลึกจนเห็นข้อต่อ และเส้นเอ็น
- แผลติดเชื้อ ที่มีลักษณะแผลเบาหวานเหมือนฝี
สาเหตุของแผลที่เท้าจากเบาหวาน
แผลเบาหวานเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้- การไหลเวียนเลือดไม่ดี
- น้ำตาลในเลือดสูง
- เส้นประสาทเสียหาย
- เท้าเป็นแผล หรือมีอาการระคายเคือง
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดแผลเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานทุกคนสามารถเกิดแผลเบาหวานเท้าได้ แต่ผู้ป่วยที่มีสิ่งเหล่านี้ร่วมด้วยจะมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ป่วยโดยทั่วไป- รองเท้าคุณภาพไม่ดี
- ล้างเท้าไม่สะอาด
- การตัดเล็บเท้าที่ไม่เหมาะสม
- ดื่มแอลกอฮอล์
- เบาหวานขึ้นจอประสาทตา
- โรคหัวใจ
- โรคไต
- โรคอ้วน
- การสูบบุหรี่
วิธีรักษาแผลเบาหวานเท้า
ไม่ใช้งานเท้าในส่วนที่เป็นแผลที่เท้าจากเบาหวานจนเกินไป การใช้งานหนักจากการเดินทำให้การติดเชื้อแย่ลง และแผลขยายขนาด สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากการกดทับ ก็เป็นสาเหตุของการปวดข้อเท้า
- ดูแลเหมือนแผลทั่วไปตามคำแนะนำและการรักษาของแพทย์เฉพาะทาง
- รักษาที่ต้นเหตุหรือสิ่งที่ทำให้เกิดแผล ได้แก่ ควบคุมน้ำตาล ดูแลเส้นเลือดตีบ ดูแลเส้นประสาทที่เสื่อม หากเท้าผิดรูปควรแก้ที่รองเท้า ระวังไม่ให้เกิดแรงกดทับบริเวณ Callus เช่น หนุนตรงอื่นไม่ให้ถูกกดทับ เป็นต้น
- การบำบัดรักษาด้วยออกซิเจนความดันสูง (Hyperbaric Oxygen Therapy – HBOT) โดยให้ผู้ป่วยหายใจด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% ขณะนอนอยู่ในห้องที่มีความดันภายในมากกว่าความกดดันของบรรยากาศ (Hyperbaric Chamber) เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนในปริมาณที่สูงกว่าการให้ออกซิเจนตามปกติ เมื่อออกซิเจนในเลือดเพิ่มขึ้น ออกซิเจนละลายอยู่ในเลือดสูงกว่า จะสามารถแก้ภาวะพร่องออกซิเจน ลดการบวมของเนื้อเยื่อ ส่งเสริมการซ่อมแซมบาดแผล ทำให้แผลหายเร็ว โดยผู้ป่วยจะเข้าไปในเครื่อง HBOT วันละ 1 ครั้ง ๆ ละ 1 ชั่วโมงครึ่ง
- ควบคุมเบาหวานให้ดี
- ทำความสะอาดเท้าทุกวัน
- ตรวจเท้าและฝ่าเท้าทุกวัน เช็กดูว่ามีแผลที่เท้าหรือมีรอยถลอกหรือไม่
- ทาครีมไม่ให้เท้าแห้งแตก ยกเว้นซอกนิ้วเท้าไม่ต้องทาต้องให้แห้งอยู่เสมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ถ้าเท้าผิดรูปอาจต้องตัดรองเท้าให้รับกับรูปเท้า
ป้องกันแผลที่เท้าจากเบาหวาน
การดูแลเท้าที่ดีสามารถป้องกันการเกิดแผลและถูกตัดเท้าได้ร้อยละ 45-85 ผู้ป่วยที่มีเส้นประสาทเสื่อม หรือขาดเลือดไปเลี้ยง ควรใช้คำแนะนำต่อไปนี้ ควรทำ- ตรวจเท้าทุกวัน สำรวจรอยขีดข่วน รอยบาด ตุ่มน้ำพอง รอยฟกช้ำ หรือมีสีผิวเปลี่ยนแปลงไป อาการบวมและแผลเปิด ถ้ามีควรแจ้งให้แพทย์ผู้ดูแลรับทราบทันที อาจใช้กระจกเงาหงายดูฝ่าเท้า หรือถ้าไม่สะดวกควรขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
- ล้างทำความสะอาดเท้าด้วยสบู่กับน้ำเปล่าทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้า จากนั้นเช็คหรือเป่าให้แห้งอย่างระมัดระวัง ใช้น้ำมันหรือโลชั่นทาผิวหนังบริเวณเท้า เพื่อให้ผิวอ่อนนุ่ม หลีกเลี่ยงบริเวณซอกนิ้วเท้า
- ตรวจสอบภายในรองเท้าก่อนสวมใส่ทุกครั้ง เพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอม โดยเฉพาะเศษก้อนหิน วัตถุแหลมคม หรือสังเกตว่ามีส่วนที่ขรุขระมาขูดข่วนเท้าหรือไม่
- ควรสวมถุงเท้าเพื่อป้องกันการเสียดสี บาดเจ็บ โดยถุงเท้า ไม่ควรจะรัดแน่นเกินไปและไม่มีรูโหว่
- เลือกซื้อรองเท้าคู่ใหม่ในช่วงบ่าย เพื่อให้เท้าขยายตัวเต็มที่และเลือกรองเท้าได้ขนาดที่เหมาะสมพอดีกับเท้า
- ตรวจสอบเท้าโดยทีมดูแลสุขภาพเป็นระยะ
- ตัดเล็บเท้าตรงในแนวขวาง แล้วใช้ตะไบลมคมที่ปลายเล็บ
- ถ้ามีแผล ควรทำความสะอาดและปิดแผลด้วยวัสดุที่ฆ่าเชื้อแล้ว
- ระมัดระวังโดยสวมรองเท้าทุกขณะ ไม่ว่าจะอยู่ภายในบ้าน หรือนอกสถานที่ เพื่อหลีกเลี่ยงภยันตรายต่อเท้า
- ควรเลี่ยงรองเท้าปลายแหลม ส้นสูง มีรูเปิด ไร้สายรัด หรือไม่หุ้มส้นด้านหลัง
- ไม่สวมถุงเท้าที่รัดแน่นเกินไป
- ห้ามใช้กระเป๋าน้ำร้อน หรือเครื่องทำความร้อนประคบหรือเป่าที่เท้า
- หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องเดินอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเหยียบย่ำบนผิวทางเดินที่ร้อนจัด
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาทาตาปลา ยาจี้หูด หรือมีดโกนกับเท้าด้วยตนเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
- ลดหรือควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากเกินไป
- งดสูบบุหรี่ เนื่องจากทำให้หลอดเลือดตีบ เลือดไปเลี้ยงเท้าน้อยลง
- ไม่สวมเครื่องประดับที่เท้า
เมื่อไรที่ควรพบแพทย์
สังเกตเห็นเนื้อดำคล้ำรอบ ๆ บริเวณที่มีอาการชา ควรไปพบแพทย์โดยทันที หากไม่ได้รับการรักษาแผลอาจทำให้เกิดฝี และแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น ๆ ที่เท้าและขา หากรักษาไม่ทันท่วงทีอาจทำให้เกิดการสูญเสียแขน ขา หรืออวัยวะไปได้10 เคล็ดลับช่วยป้องกันแผลที่เท้าจากเบาหวาน
ตั้งแต่การวางแผนมื้ออาหารไปจนถึงการออกกำลังกายเป็นประจำ มีหลายวิธีที่จะช่วยจัดการกับโรคเบาหวาน อย่างไรก็ตาม แง่มุมหนึ่งของโรคที่มักไม่ค่อยพูดถึงก็คือความเสี่ยงของการเกิดแผลที่เท้า แผลที่เท้าจากเบาหวานเกิดขึ้นประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งเป็นจำนวนที่มาก ทุกๆ 20 วินาที สูญเสียแขนขาเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนที่เท้าที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน ความเสี่ยงของการเจ็บป่วยที่คุกคามถึงชีวิตของผู้ป่วยที่เป็นแผลเบาหวานที่เท้านั้นสูงกว่าความเสี่ยงของผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่มีแผลที่เท้าถึง 2.5 เท่า การรับทราบข้อมูลและทำความเข้าใจสิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อเกิดแผลที่เท้าสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลที่เท้าได้ ด้านล่างนี้เป็นรายการคำแนะนำและข้อควรจำเพื่อช่วยป้องกันการเกิดแผลที่เท้าจากเบาหวาน- ตรวจสอบเท้าของคุณทุกวันเพื่อหาการระคายเคือง น้ำตาที่ผิวหนัง หนังด้าน แผลพุพอง หรือบาดแผลเปิด
- ล้างเท้าทุกวันด้วยสบู่และน้ำอุ่น เช็ดเท้าเบาๆ ด้วยผ้าขนหนู ให้แน่ใจว่าระหว่างนิ้วเท้าแห้ง
- ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์กับผิวเท้าหลังการล้างเพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
- อย่าเดินเท้าเปล่าหรือสวมรองเท้าโดยไม่สวมถุงเท้า
- อย่าพยายามเอาตาปลาหรือหนังด้านออกด้วยตัวคุณเอง
- อย่าอุ่นเท้าด้วยกระติกน้ำร้อน สเปซฮีตเตอร์ หรือสปาเท้า
- ใช้ยาของคุณตามที่แพทย์ของคุณกำหนด
- ตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดของคุณเป็นประจำ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- สวมรองเท้าที่กระชับพอดี
ภาพรวม
แผลที่เท้าจากเบาหวานสามารถรักษาได้ ควรไปพบแพทย์ทันที หากมีอาการเจ็บที่เท้า เนื่องจากความเสี่ยงของการติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นตามเวลา การติดเชื้อที่ไม่สามารถรักษาได้อาจทำให้ต้องตัดแขนขา แผลที่เท้าจากเบาหวานอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการรักษา แผลอาจใช้เวลาในการรักษานานยิ่งขึ้น ถ้าหากน้ำตาลในเลือดสูง และแผลถูกกดทับ การควบคุมระดับน้ำตาล และการลดแรงกดจากเท้าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการรักษาแผลที่เท้า เมื่อแผลหายแล้ว ควรดูแลรักษาและป้องกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้แผลกลับมาเป็นอีกครั้งนี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา
- https://www.apma.org/diabeticwoundcare
- https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/12856290/
- https://www.webmd.com/diabetes/diabetes-sores-ulcers-care
- https://www.diabetes.co.uk/diabetes-complications/diabetic-foot-ulcers.html
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น