ผู้เขียน Dr. Sommai Kanchana
0
Default Thumbnail
Cushing’s syndrome หรือ hypercortisolism เป็นโรคที่เกิดจากการมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลมากเกินไป ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ในกรณีส่วนมาก การรักษาจะช่วยให้คุณจัดการกับระดับของฮอร์โมนคอร์ติซอลได้ 

อาการของ Cushing’s syndrome 

อาการทั่วไปของโรคนี้มีดังนี้:
  • น้ำหนักขึ้น 
  • มีไขมันสะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนกลางลำตัว เช่น ใบหน้า ทำให้หน้ากลม รอบ ๆ ไหล่ และหลังส่วนบน ทำให้เกิดหนอกคอ 
  • มีรอยแตกสีม่วงบนหน้าอก แขน ท้อง และต้นขา
  • ผิวบางที่ช้ำง่าย 
  • แผลหายช้า 
  • มีสิว 
  • อ่อนล้า 
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง 
เมื่อสิวรบกวนใจ ต้องทำอย่างไร อ่านต่อที่นี่ ยังมีอาการอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากอาการเหล่านี้  อาการเหล่านั้น มีดังนี้:

ในเด็ก 

Cushing’s syndrome เกิดขึ้นได้ในเด็กเช่นกัน แม้ว่าจะเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยเท่าในผู้ใหญ่ก็ตาม จากการศึกษาพบว่า 10% ของผู้ป่วยใหม่แต่ละปีเป็นเด็ก  นอกจากอาการที่กล่าวมาแล้ว เด็กที่เป็น Cushing’s syndrome อาจมีอาการดังนี้:

ในผู้หญิง 

Cushing’s syndrome เกิดขึ้นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 3 เท่า  ผู้หญิงที่เป็น Cushing’s syndrome อาจมีขนที่หน้า และตามร่างกายมากกว่าปกติ  ขนอาจเกิดขึ้นที่:
  • หน้า และคอ
  • หน้าอก 
  • ท้อง 
  • ต้นขา 
นอกจากนี้ ผู้หญิงที่เป็น  Cushing’s syndrome อาจมีประจำเดือนมาไม่ปกติ ในบางกรณี อาจมีอาการประจำเดือนขาด หากไม่ได้รักษาจะทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก 

ในผู้ชาย 

เช่นเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นกับผู้หญิง และเด็ก ผู้ชายที่เป็น Cushing’s syndrome อาจมีอาการอื่น ๆ ด้วย  ผู้ชายที่เป็น Cushing’s syndrome อาจมีอาการ:
  • การหย่อยสมรรถภาพทางเพศ 
  • ความสนใจเรื่องเพศหายไป 
  • ภาวะเจริญพันธุ์ลดลง

สาเหตุ

Cushing’s syndrome เกิดจากฮอร์โมนคอร์ติซอลที่มากเกินไป ต่อมอะดรีนอลสร้างฮอร์โมนนี้มากเกินไป  ฮอร์โมนคอร์ติซอลช่วยร่างกายทำงานหลายอย่าง เช่น:
  • ควบคุมความดันโลหิต และระบบไหลเวียนโลหิต 
  • ลดการตอบสนองของการอักเสบของระบบภูมิคุ้มกัน 
  • เปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนเป็นพลังงาน 
  • ช่วยทำให้อินซูลินสมดุล 
  • ตอบสนองต่อความเครียด 
ร่างกายอาจจะสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอลจากหลายสาเหตุ ดังนี้:
  • มีความเครียดสูง รวมไปถึงความเครียดที่เกิดจากการเจ็บป่วยกะทันหัน การผ่าตัด บาดเจ็บ หรือการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสที่ 3  
  • การออกกำลังกาย 
  • ภาวะทุพโภชนาการ 
  • ติดแอลกอฮอล์ 
  • ซึมเศร้า ตื่นตระหนก หรือมีความเครียดสูง 
เราจะรับมือกับความเครียดอย่างไร อ่านต่อที่นี่

คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids)

สาเหตุส่วนมากที่ทำให้เกิด Cushing’s syndrome คือการใช้ยาคอร์โคสเตียรอยด์ เช่น prednisone ในปริมาณสูงเป็นเวลานาน ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ใช้การรักษาเหล่านี้เพื่อรักษาโรคที่เกิดจากการอักเสบต่าง ๆ เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือเพื่อป้องกันการปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะ  การฉีดสเตียรอยด์ปริมาณสูงเพื่อรักษาอาการปวดหลังก็สามารภทำให้เกิดโรค Cushing’s syndrome ได้ อย่างไรก็ตาม สเตียรอยด์ปริมาณต่ำ ๆ ที่ใช้สูดดม เช่น ที่ใช้รักษาหอบหืด หรือครีม เช่น ที่ใช้รักษาโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ไม่ได้มีปริมาณมากพอที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคนี้ 

เนื้องอก 

เนื้องอกหลายชนิดทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลถูกผลิตมากขึ้น  เนื้องอกเหล่านั้น ได้แก่:
  • เนื้องอกต่อมใต้สมอง ต่อมใต้สมองปล่อยฮอร์โมนแอดรีโนคอร์ติโคทรอพิกมากเกินไป ซึ่งไปกระตุ้นต่อมใต้สมองให้สร้างคอร์ติซอล 
  • เนื้องอกภายนอก เป็นเนื้องอกที่อยู่นอกต่อมใต้สมองที่สร้าง ACTH ปกติแล้วจะพบในปอด ตับอ่อน ไทรอยด์ หรือต่อมไทมัส 
  • เนื้องอกต่อมหมวกไต หรือความผิดปกติของต่อมหมวกไต ทำให้เกิดการสร้างคอร์ติซอลที่ผิดปกติ ซึ่งสามารถทำให้เกิด Cushing’s syndrome ได้ 
  • แม้ว่า Cushing’s syndrome จะไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดเนื้องอกขึ้นที่ระบบต่อมไร้ท่อ 

โรค Cushing’s 

หาก Cushing’s syndrome เกิดขึ้นจากการที่ต่อมใต้สมองสร้าง ACTH มากเกินไป แล้วทำให้เปลี่ยนเป็นคอร์ติซอล ซึ่งทำให้เกิดโรค Cushing’s  เช่นเดียวกับ Cushing’s syndrome โรค Cushing’s ส่งผลต่อผู้หยิงมากกว่าผู้ชาย 

การรักษา

เป้าหมายของการรักษา Cushing’s syndrome คือการลดระดับของคอร์ติวอลในร่างกาย ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค  ผุ้เชี่ยวชาญทางการแพทย์อาจสั่งยาเพื่อช่วยลดระดับคอร์ติวอล ยาบางชนิดจะไปลดการสร้างคอร์ติวอลในต่อมหมวกไต หรือลดระดับการสร้าง ACTH ในต่อมใต้สมอง ยาอื่น ๆ ก็จะไปยับยั้งผลกระทบของคอร์ติวอลในเนื้อเยื่อต่าง ๆ  ตัวอย่างเช่น:
  • ketoconazole (Nizoral)
  • mitotane (Lysodren)
  • metyrapone (Metopirone)
  • pasireotide (Signifor)
  • mifepristone (Korlym, Mifeprex)ในผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 หรือ ความทนทานต่อน้ำตาล 
หากคุณใช้คอร์ติโสเตียรอยด์ คุณอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนยา หรือปริมาณ อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรเปลี่ยนปริมาณยาด้วยตัวเอง ควรปรึกษาแพทย์  เนื้องอกเป็นสิ่งที่ร้ายแรง ซึ่งอาจกลายเป็นมะเร็ง หรืออาจไม่เป็นมะเร็ง  หากโรคนี้เกิดจากเนื้องอก ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์อาจต้องการเอาเนื้องอกออกโดยการผ่าตัด หากเนื้องอกไม่สามารถเอาออกได้ ผุ้เชี่ยวชาญอาจแนะนำให้ใช้รังสีรักษา หรือเคมีบำบัด  อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ: ต่อมหมวกไต

ภาวะแทรกซ้อนของ Cushing’s syndrome 

Cushing’s syndrome ซึ่งเป็นความผิดปกติของฮอร์โมนที่มีลักษณะเฉพาะจากการได้รับคอร์ติซอลในระดับสูงเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่ส่งผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้อาจมีตั้งแต่เล็กน้อยถึงรุนแรง และอาจต้องได้รับการแทรกแซงทางการแพทย์ ต่อไปนี้เป็นภาวะแทรกซ้อนทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับ Cushing’s syndrome:
  • ความผิดปกติของระบบเมตาบอลิซึม : การได้รับคอร์ติซอลในระดับสูงเป็นเวลานานสามารถขัดขวางกระบวนการเผาผลาญตามปกติ ซึ่งนำไปสู่สภาวะต่างๆ เช่น:
    • โรคอ้วน : น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริเวณช่องท้อง (“โรคอ้วนลงพุง”) เป็นลักษณะทั่วไปของกลุ่มอาการคุชชิง
    • ความต้านทานต่ออินซูลินและโรคเบาหวาน : คอร์ติซอลอาจทำให้ความไวของอินซูลินและการเผาผลาญกลูโคสลดลง เพิ่มความเสี่ยงต่อการดื้อต่ออินซูลินและโรคเบาหวาน
    • ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ : Cushing’s syndrome มักเกี่ยวข้องกับระดับไขมันที่ผิดปกติ รวมถึงระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจได้
  • ภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือด : Cushing’s syndrome อาจส่งผลเสียต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงต่อ:
    • ความดันโลหิตสูง (ความดันโลหิตสูง) : ระดับคอร์ติซอลที่สูงขึ้นอาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และเหตุการณ์หัวใจและหลอดเลือดอื่นๆ
    • โรคหลอดเลือด : การได้รับคอร์ติซอลเรื้อรังสามารถส่งเสริมการพัฒนาของหลอดเลือด ซึ่งเป็นภาวะที่มีการสะสมของคราบพลัคในหลอดเลือดแดง ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดลดลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง
  • การสูญเสียกระดูก (โรคกระดูกพรุน) : ระดับคอร์ติซอลที่สูงอาจรบกวนการเผาผลาญของกระดูก ส่งผลให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อกระดูกหัก โรคกระดูกพรุนเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยของกลุ่มอาการคุชชิง โดยเฉพาะในสตรีวัยหมดประจำเดือน
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรงและการฝ่อ : คอร์ติซอลที่มากเกินไปอาจทำให้กล้ามเนื้อสูญเสียและอ่อนแรง ส่งผลให้มวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงลดลง สิ่งนี้อาจทำให้ความคล่องตัว ความสมดุล และการทำงานทางกายภาพโดยรวมลดลง
  • การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง : Cushing’s syndrome อาจทำให้เกิดอาการทางผิวหนังได้หลายอย่าง รวมไปถึง:
    • ผิวบางและเปราะบาง : ส่วนเกินของคอร์ติซอลอาจทำให้ผิวหนังบางและเปราะบางมากขึ้น ทำให้เกิดอาการช้ำ น้ำตาไหล และการรักษาบาดแผลล่าช้ามากขึ้น
    • รอยแตกลาย (Striae) : รอยแตกลายมีลักษณะเป็นเส้นสีชมพูหรือสีม่วงบนผิวหนัง มักเกิดขึ้นที่หน้าท้อง ต้นขา ก้น และหน้าอก เนื่องจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผิวหนัง
  • การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และการรับรู้ : กลุ่มอาการคุชชิงอาจมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพจิตและการทำงานของการรับรู้ ซึ่งนำไปสู่:
    • อาการซึมเศร้าและความวิตกกังวล : ความเครียดเรื้อรังและความไม่สมดุลของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการคุชชิงสามารถส่งผลต่อความผิดปกติทางอารมณ์ เช่น ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล
    • ความบกพร่องทางสติปัญญา : บุคคลบางคนที่เป็นโรคคุชชิงอาจประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางสติปัญญา รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับความจำ สมาธิยาก และการทำงานของผู้บริหารบกพร่อง
  • ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง : การได้รับคอร์ติซอลเป็นเวลานานสามารถกดระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ และทำให้แผลหายช้า
  • ความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์และต่อมไร้ท่อ : กลุ่มอาการคุชชิงสามารถรบกวนการทำงานของระบบสืบพันธุ์และต่อมไร้ท่อตามปกติ ซึ่งนำไปสู่:
    • ประจำเดือนมาไม่ปกติ : ผู้หญิงที่เป็นโรคคุชชิงอาจมีประจำเดือนมาไม่ปกติหรือขาดหายไปเนื่องจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน
    • ความใคร่ลดลงและการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ : คอร์ติซอลส่วนเกินอาจส่งผลต่อความใคร่และการทำงานทางเพศในทั้งชายและหญิง
    • ความไม่สมดุลของฮอร์โมน : กลุ่มอาการคุชชิงสามารถรบกวนการทำงานของต่อมที่สร้างฮอร์โมนอื่นๆ เช่น ต่อมไทรอยด์และอวัยวะสืบพันธุ์ ทำให้เกิดความผิดปกติของต่อมไร้ท่อเพิ่มเติม
  • ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการติดเชื้อ : การปราบปรามภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการคุชชิงสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งอาจต้องมีการแทรกแซงทางการแพทย์โดยทันที
  • ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของเหตุการณ์หัวใจและหลอดเลือด : บุคคลที่เป็นโรค Cushing’s มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นของเหตุการณ์หัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากความผิดปกติของระบบเผาผลาญ ความดันโลหิตสูง และหลอดเลือด
โดยรวมแล้ว ภาวะแทรกซ้อนของกลุ่มอาการคุชชิงอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพกาย ความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์ และคุณภาพชีวิตโดยรวม การตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ การจัดการทางการแพทย์ที่เหมาะสม และการติดตามอย่างต่อเนื่องถือเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและปรับผลลัพธ์ให้เหมาะสมสำหรับบุคคลที่เป็นโรค Cushing’s syndrome

นี่คือที่มาในบทความของเรา

https://www.healthline.com/health/cushings-syndrome 
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด