เรียบเรียงและปรับปรุงข้อมูลทางการแพทย์โดย : พญ. พรรณิภา สุขสมบูรณ์กิจ
ภาพรวมโรคตับแข็ง
โรคตับแข็ง หรือ โรค (Cirrhosis) คือ อาการของความผิดปกติในการทำงานของตับ หรือตับเป็นผังผืดและทำให้ตับมีปัญหา บางครั้งผังผืดมักเกิดจากการได้รับสารพิษเช่นแอลกอฮฮล์มาเป็นระยะเวลายาวนาน หรืออาจจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส นอกจากนี้ภาวะการเจ็บป่วยทางร่างกายบางอย่างก็อาจจะเป็นต้นเหตุของโรคตับแข็งได้ด้วยเช่นกัน ในคนที่เป็นโรคหัวใจเรื้อรังอาจจะจะทำให้ตับมีการอักเสบเนื่องจากภูมิคุ้มกันต่อตนเองหรือบางครั้งหากร่างกายมีธาตุเหล็กหรือทองแดงมากเกินไปอาจจะส่งผลต่อตับได้ ทำให้ตับผิดปกติ หน้าที่ของตับมีดังนี้: หน้าที่ของตับ- สร้างโปรตีนอีกหลายชนิดที่สำคัญ คือ Globulin Albumin และโปรตีนที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด
- กำจัดสารพิษต่างๆ ได้แก่ ยาบางชนิดและแบคทีเรียบางชนิด
- สร้างเม็ดเลือดแดงตั้งแต่อายุครรภ์ได้ 2 เดือน
- เป็นที่เก็บวิตามินต่างๆ เช่น วิตามิน B12, วิตามิน A, D, E และ K
- ตับสร้างน้ำดีวันละประมาณ 500 – 1000 CC.
- เป็นแหล่งเก็บพลังงานให้ร่างกายในรูปของแป้ง (Glycogen) และสามารถนำ Glycogen มาสลายเป็นพลังงานให้แก่ร่างกายได้
- หน้าที่ในการรีไซเคิลสารจากเม็ดเลือดแดงที่ถูกทำลายที่ม้าม
- ย่อยอาหารไขมัน
สาเหตุโรคตับแข็งเกิดจากอะไร
ตับคืออวัยวะที่สำคัญ ตับช่วยอุ้มน้ำให้อยู่ในหลอดเลือด ตับผลิตน้ำดีและเกลือน้ำดีเพื่อสลายไขมัน สามารถฟื้นฟูเซลล์ที่เสียหาย หากตับได้รับความเสียหายนั่นหมายความว่าร่างกายจะได้รับผลกระทบมาก ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคตับในคนไทย คือโรคตับที่มาจากพิษสุราเรื้อรังและการติดเชื้อไวรัสที่ตับ และหากมีอาการเช่นนี้นาน ๆ จะส่งผลให้ตับมีเนื้อเยื่อผังผืดที่ตับและไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ โรคเกี่ยวกับตับ:- โรคตับอักเสบจากภูมิต้านทานตัวเอง
- โรคไวรัสตับอักเสบบี ซี ดี
- alcocholic cirrhosis คือโรคพิษสุราเรื้อรัง
- ภาวะท่อน้ำดีอุดตัน ทำให้น้ำดีที่ไหลย้อนกลับไปที่ตับส่งผลทำลายเนื้อตับจนเป็นตับแข็งได้
- ไขมันพอกตับ ทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรังจนอาจกลายเป็นตับแข็งได้
- โรควิลสัน (Wilson’s disease) ซึ่งเกิดจากการมีการสะสมทองแดงมากเกินไปในตับ
- การได้รับสารพิษบางชนิด
- ทานยาบางตัวนานเกินไป
- โรคเนื้อเยื่อสะสมธาตุเหล็กผิดปกติ
- หัวใจล้มเหลวหลายครั้งติดต่อกัน
อาการโรคตับแข็งและระยะ
โรคตับแข็งมีกี่ระยะ
โรคตับแข็งอาการอาจจะสำแดงอาการมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และบางครั้งอาจจะมีภาวะแทรกซ้อนแตกต่างกันไปอาการโรคตับแข็งระยะแรก:
- ตัวเหลือง หรือดีซ่าน
- เลือดกำเดาไหล
- เบื่ออาหาร
- ผิวคัน (itchy skin) มีอาการคันจากโรคตับที่ผิวหนังอย่างรุนแรง เนื่องจากสารประกอบของน้ำดีถูกฝังอยู่ในผิวหนัง
- ร่างกายอ่อนล้า
- ฟกช้ำหรือเลือดออกได้ง่าย เนื่องจากมีการผลิตโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบในการทำให้เลือดแข็งตัวลดลง
ตับแข็งระยะที่สองจะมีอาการคือ
- ช่องท้องบวม หรือที่เรียกว่าท้องมาน อาการท้องโตผิดปกติ
- ดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง
- สมองทำงานช้าลง
- อาการท้องบวมโต ตัวบวม ขาบวม
- เลือดออกรุนแรงในกระเพาะอาหาร
- ในผู้หญิงอาจมีประจำเดือนผิดปกติ ในผู้ชายอาจมีเต้านมขยายใหญ่ขึ้นพร้อมอาการปวด สมรรถภาพทางเพศลดลง
- มีอาการทางสมอง เนื่องจากตับไม่สามารถกรองสารพิษออกมาได้ จึงเริ่มสะสมในเลือด โดยสัญญาณแรกของการสะสมสารพิษในสมองอาจสังเกตได้จากการที่ผู้ป่วยละเลยการดูแลตนเอง ไม่มีอาการตอบโต้ ลืมง่าย ไม่มีสมาธิ
- ตับโตเกิดจาก(Hepatomegaly) คือ ภาวะที่ตับมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ตับโตอาการมีดังนี้แน่นท้อง อาเจียน น้ำหนักลด อ่อนเพลีย เท้าบวมหรือขาบวม อาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบ โรคมะเร็ง ความผิดปกติที่หัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลให้ตับเสียหายได้
- ตับวายระยะสุดท้าย ตับวายเฉียบพลันที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังเกิดขึ้นภายใน 4 สัปดาห์ โดยมีอาการแสดง คือ มีภาวะตัวเหลือง ตาเหลืองเพิ่มขึ้นจากระดับบิริรูบินสูงขึ้น ท้องบวมโต มีน้ำในช่องท้อง การแข็งตัวของเลือดผิดปกติจนเป็นสาเหตุให้มีเลือดออกจากทางเดินอาหาร เช่น เลือดออกจากเส้นเลือดขอดที่หลอดอาหาร เลือดออกในกระเพาะอาหาร มีจ้ำเลือดตามตัว
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลโรคตับ
การวินิจฉัยโรคตับแข็งคือการสอบถามเริ่มต้นด้วยประวัติโดยละเอียดและการตรวจร่างกาย ซักถามประวัติโรคที่คนในครอบครัวเคยเป็น โรคแพ้ภูมิตัวเองหรือปัจจัยเสี่ยงอื่น การตรวจร่างกายที่สัญญาณต่าง ๆ เช่น:- ผิวเหลืองซีด
- ตาเหลือง
- ฝ่ามือแดงเพราะโรคตับ
- มือสั่น
- ตับบวม
- ขนาดอัณฑะเล็กลง
- การตรวจตับและม้ามด้วยรังสี (radioisotope scan)
- ตรวจเลือด
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
- การเจาะผ่านผิวหนัง (biopsy) เพื่อเอาตัวอย่างจากเนื้อตับไปตรวจ เป็นวิธีที่ตรวจได้ 100%
- การส่องกล้องแลปปาโรสโคป (Laparoscope) เป็นกล้องขนาดเล็กที่แทรกผ่านท่อเล็ก ๆ ในช่องท้องเพื่อเข้าไปดูตับ
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคตับแข็ง (Cirrhosis)
หากเลือดของคุณไม่สามารถผ่านตับไปได้ มันจะสร้างการสำรองผ่านหลอดเลือดดำอื่น ๆ เช่นในหลอดอาหาร เส้นเลือดเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับแรงกดดันสูงและจะบวมจากการไหลเวียนของเลือดที่มากเกินไป
ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยจากโรคตับแข็ง:- ไตวาย เกิดจากภาวะตับที่เสื่อมสภาพทำให้มีไนตริกออกไซด์และระบบฮอร์โมนทีควบคุมการบีบตัวของเส้นเลือดแดงผิดปกติ มีผลให้เลือดไปเลี้ยงที่ไตลดลงทำให้เกิดภาวะไตวายขี้น โดยภาวะสภาพของเนื้อไตจะปกติดี
- ตับวาย liver failure คือโรคตับวาย เป็นโรคซึ่งเกิดจากมีเหตุปัจจัยร้ายแรง ที่มากระทำให้เนื้อเยื่อตับส่วนใหญ่เกิดความเสียหายจนเกินกว่าที่ตับจะซ่อมแซมตนเองได้ จึงทำให้ตับใกล้หมดสมรรถภาพที่จะทำหน้าที่ของตับได้ โดยสาเหตุที่ทำให้เซลล์ตับบาดเจ็บเสียหาย (Liver injury)
- เนื้อตัวช้ำเขียว (เนื่องจากเกล็ดเลือดต่ำและ หรือการแข็งตัวของเลือดไม่ดี)
- เป็นมะเร็งในตับ
- เลือดขอดในหลอดอาหาร เกิดจากพังผืดในตับ ดึงรั้งทำให้เกิดความดันเลือดในตับและในหลอดอาหารสูงขึ้น จนเกิดเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารโดยหากเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารแตกจะทำให้ผู้ป่วยอาเจียนเป็นเลือด อาจถึงซ็อกและเสียชีวิตได้
- ภาวะเสื่อมของสมอง เกิดจากความสามารถในการขจัดสารพิษของตับลดลงร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของระบบไหลเวียนเลือดในตับที่ผิดปกติ ส่งผลให้ของเสีย (โดยเฉพาะสารแอมโมเนีย) บางส่วนไม่ผ่านการกรองที่ตับ ทำให้เกิดสารพิษดังกล่าวปนกับกระแสเลือดและมีผลกระทบต่อการทำงานของสมองโดยผู้ป่วยมีอาการง่วงตอนกลางวัน, มือสั้น, พูดจาสับสนความรู้สึกตัวลดลง หรือหมดสติได้ โดยปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภาวะนี้ได้แก่ การติดเชื้อ ท้องผูก เป็นต้น
- ฮอร์โมนผิดปกติ โดยผู้ป่วยตับแข็งจะมีความสามารถในการกำจัดฮอร์โมนบางอย่างลดลง ทำให้ฮอร์โมนเอสตราไดออลเพิ่มขึ้น ทำให้เต้านมโตขึ้น รวมถึงมีภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ภาวะมีบุตรยาก
- ท้องบวม เป็นภาวะที่มีน้ำในช่องท้องปริมาณมากกว่าปกติ เกิดจากการที่แรงดันของหลอดเลือดในตับสูงขึ้นจนเกิดการรั่วซึมของน้ำออกมาจากตับร่วมกับภาวะที่ผู้ป่วย ตับแข็ง มักมีระดับโปรตีนอัลบูมินที่ต่ำลง (โปรตีน ชนิดนี้จะช่วยอุ้มน้ำให้อยู่ในหลอดเลือด) จึงเกิดการสะสมปริมาณน้ำในช่องท้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้ป่วยจะมีอาการท้องบวม ขาบวม สะดือจุ่น ภาวะนี้รักษาได้โดยการให้ยาขับปัสสาวะ นอกจากนี้ผู้ป่วยดังกล่าวอาจเกิดการติดเชื้อในช่องท้องแทรกซ้อนได้เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่ลดลง ส่งผลให้มีอาการไข้ ปวดท้อง หรือท้องเสีย แพทย์จะวินิจฉัยโดยการเจาะน้ำในช่องท้องไปตรวจ และให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
- ความต้านทานต่ออินซูลินและโรคเบาหวานประเภท 2
- เลือดออกผิดปกติ ตับเป็นอวัยวะทีสร้างโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด ในภาวะตับแข็งจะทำให้เกิดการลดลงของโปรตีนเหล่านี้ ร่วมกับเกล็ดเลือดที่ต่ำจากม้ามโตทำให้ผู้ป่วยตับแข็งมีปัญหาเลือดออกง่ายกว่าปกติ
การรักษาโรคตับแข็ง
วิธีรักษาโรคตับแข็งขึ้นอยู่กับระยะและอาการของโรค หากเป็นโรคตับแข็งระยะแรก ที่ตับยังไม่ได้รับความเสียหายมาก การรักษาที่สาเหตุจะป้องกันการถูกทำลายของตับ และมีการรักษาอื่น ๆ ที่แพทย์จะดูความเหมาะสมดังนี้- การหยุดดื่มสุราหรือแอลกอฮอล์ (การรักโรคตับแข็งจากสุรา)
- การให้ยาเบต้าบล็อคเกอร์หรือไนเตรต (สำหรับความดันโลหิตสูง)
- การฟอกเลือด
- รับประทานยาเพื่อช่วยควบคุมโรคไวรัสตับอักเสบ ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ (เพื่อรักษาเยื่อบุช่องท้องอักเสบที่สามารถเกิดขึ้นได้กับน้ำในช่องท้อง)
- ควบคุมน้ำหนัก
- ความคุมน้ำตาลและควบคุมอาหารโปรตีนต่ำ (กรณีมีโรคสมองที่เกิดจากตับแข็ง)
- การปลูกถ่ายตับ เมื่อการรักษาอื่น ๆ ไม่ได้ผล
โรคตับแข็งจะอยู่ได้กี่ปี
คำถามเป็นคำถามที่ตอบยากเนื่องจากไม่สามารถบอกแน่ชัดได้ และขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและปัจจัยอื่น ๆ รวมทั้งผู้ป่วยมีโรคแทรกซ้อนหรือไม่ จนไปถึงระยะของอาการโรคตับแข็ง แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะเฉลี่ยอยู่ที่ 5-10 ปี หากผู้ป่วยเข้าถึงตับแข็งระยะสุดท้ายแล้ววิธีป้องกันโรคตับแข็ง
- สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการดื่มสุราและแอลกอฮอล์
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี
- ควบคุมน้ำหนัก
- ผู้ป่วยโรคตับแข็งห้ามกินอะไรสุก ๆ ดิบๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ในตับ
อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคตับแข็ง (Cirrhosis)
ในผู้ป่วยโรคตับ ควรรับประทานอาหารและโปรตีนที่ดี เช่นเนื้อสัตว์ไม่ติดมันเช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ นม ไข่ ผักผลไม้สด หากตับยังทำงานปกติควรบริโภคอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่ตามหลักโภชนาการ โดยรับประทานอาหารประเภทโปรตีนประมาณวันละ 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือควรรับประทานโปรตีนวันละประมาณ 60 กรัม หรือกินเนื้อสัตว์ให้ได้วันละ 6-12 ช้อนโต๊ะ หากตับทำงานผิดปกติแล้วและมีอาการตัวเหลือง (ดีซ่าน) อาการท้องบวมขาบวม ระยะนี้ผู้ป่วยจะมีภาวะขาดสารอาหารดังนั้นควรกินอาหารให้ได้ 2,500-3,000 กิโลแคลอรีต่อวัน โดยเลือกรับพลังงานจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้งและข้าวเป็นหลัก เช่น ข้าวสวย ข้าวต้ม ข้าวเหนียว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน และเพิ่มการรับประทานข้าวและแป้งไม่ขัดสี อย่างข้าวกล้อง โฮลวีต ร่วมด้วย นอกจากนี้ควรกินอาหารประเภทโปรตีนให้ได้ประมาณ 80-90 กรัม ต่อวัน และรับประทานผัก-ผลไม้ร่วมด้วย นี่คืออาหารสไหรับคนเป็นโรคตับแข็ง ที่ควรรับประทานคำถามที่พบบ่อย
ผู้ป่วยโรคตับแข็งสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน ตับแข็งแบบชดเชย: ผู้ที่เป็น โรคตับแข็งแบบชดเชยจะไม่แสดงอาการ ในขณะที่อายุขัยประมาณ 9-12 ปี บุคคลอาจไม่แสดงอาการเป็นเวลาหลายปี แม้ว่า 5-7% ของผู้ที่มีอาการจะมีอาการ โรคตับแข็งรักษาหายไหม โรคตับแข็งมักไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีวิธีจัดการกับอาการและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ และยับยั้งไม่ให้อาการแย่ลงได้ โรคตับแข็งอาจทำให้เสียชีวิตได้หรือไม่ โรคตับแข็ง เป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต แม้ว่าโรคตับแข็งที่ไม่รุนแรงอาจสัมพันธ์กับการรอดชีวิตที่ยาวนาน แต่โรคส่วนใหญ่ที่กระตุ้นให้เกิดโรคตับแข็งในอัตราที่แปรผัน ไปจนถึงภาวะตับวายระยะสุดท้าย โรคตับแข็งลุกลามได้เร็วแค่ไหน โรคตับที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ ต้องใช้เวลามากกว่าสิบปีในการพัฒนาจากไขมันพอกตับ พังผืด ตับแข็ง ไปจนถึงตับวายเฉียบพลันเฉียบพลัน กระบวนการนี้จะไม่แสดงอาการและไม่แสดงอาการ และอาจพลาดได้ง่ายในการดูแลเบื้องต้น ซึ่งมักจะมาพร้อมกับโรคตับแข็งระยะลุกลาม ไข่ต้มดีต่อตับจริงหรือไม่ ไข่ขาวดีต่อตับของคุณแต่การบริโภคมากเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหาการย่อยอาหารและไข่แดงสีเหลืองเป็นแหล่งของคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี อาหารเหล่านี้ไม่ดีต่อไตและตับ สาเหตุการเสียชีวิตที่พบบ่อยที่สุดในโรคตับแข็งคืออะไร แม้ว่าสาเหตุการตายโดยรวมในผู้ป่วยโรคตับแข็งจะเกี่ยวข้องกับตับ แต่สาเหตุการตายที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยโรคตับแข็ง NAFLD ได้แก่มะเร็งที่ไม่ใช่ตับ โรคหลอดเลือดในสมอง และเบาหวานลิงค์ด้านล่างนี้เป็นแหล่งข้อมูลของบทความของเรา
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/cirrhosis/symptoms-causes/syc-20351487
- https://www.webmd.com/digestive-disorders/understanding-cirrhosis-basic-information
- https://www.nhs.uk/conditions/cirrhosis/
- https://www.liver.ca/patients-caregivers/liver-diseases/cirrhosis/
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น