Cheese มีกี่ประเภท
เมื่อพูดถึงชีสหลายๆ คน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ชอบรับประทานมาก แต่เกลียดที่มันเป็นสาเหตุของความอ้วน และโรคหัวใจ จริงๆ ชีสก็คือ อาหารอย่างหนึ่ง ที่เราทุกคนรู้ดีว่าการรับประทานอาหารนั้นปลอดภัย หากไม่รับประทานมากจนเกินไป บทความนี้เราจะกล่าวถึงว่าชีสมีกี่ชนิด และการเลือกรับประทานชีสให้เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ชีสมีหลายประเภท โดยชีสที่นิยมรับประทานในประเทศไทยเช่นบลูชีส
บลูชีส คือชีสที่มีลักษณะมีลายสีฟ้า และเขียวแซมกัน เนื่องจากเกิดการเจริญเติบโตของเชื้อรา แต่สามารถรับประทานได้และหลาย ๆ คนต่างติดใจในรสชาติของบลูชีส บลูชีสเหมาะสำหรับการนำไปเพิ่มในสลัด หรือทานกับขนมปังเชดด้าร์ชีส
เชดดาร์ชีส เป็นชีสที่นิยมใส่ในแซนวิชหรือแฮมเบอร์เกอร์ โดยจะมีรสชาติเค็มแต่ไม่มากนักมอสซาเรลลา
มอสซาเรลลาซีส เชื่อว่าใคร ๆ หลายคนต่างชื่นชอบชีสชนิดนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความเหนียว นุ่มและยืด จะพบได้บ่อยในพิซซ่า หรือชีสทอด และลาซานญ่าชีสประโยชน์นั้นมีมากมาย
ชีสเป็นแหล่งแคลเซียม ไขมัน และโปรตีนที่ดี พร้อมทั้งยังมีวิตามิน A และ B-12 ในปริมาณสูง และมีสังกะสี ฟอสฟอรัส และไรโบฟลาวินอีกด้วย จากการศึกษาจำนวนมากพบว่า ชีส และผลิตภัณฑ์จากนมโดยทั่วไป ช่วยป้องกันฟันผุได้ ในการศึกษาของเดนมาร์กปี 2015 พบว่า เด็กที่ได้รับนมมากกว่าปริมาณปกติที่ได้รับ พบว่ามีปัญหาฟันผุน้อยกว่ากลุ่มที่บริโภคนมน้อยกว่าค่าเฉลี่ยชีสทำมาจากอะไร
ชีสทำมาจากนมของสัตว์เป็นหลัก โดยชีสที่ทำมาจากนมของสัตว์ที่บริโภคหญ้าเป็นอาหาร 100% ทำให้มีสารอาหารสูง และยังมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และวิตามิน K -2กรด Conjugated linoleic Acid (CLA)
ชีสที่มีไขมันสูง เช่น บลูชีส บรีชีส และเชดดาร์ชีส มีกรด CLA ในปริมาณเล็กน้อย มีการศึกษาพบว่า CLA สามารถช่วยป้องกันโรคอ้วน โรคหัวใจ และลดการอักเสบ ชีส (และผลิตภัณฑ์นมไขมันสูงอื่น ๆ เช่น นม และเนย) จากสัตว์ที่กินหญ้า 100% จะมี CLA ในปริมาณสูง นอกจากมี CLA แล้วการบริโภคนม และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมนั้นมีส่วนช่วยในการเสริมสุขภาพ และหัวใจ ผลิตภัณฑ์นมหมัก เช่น โยเกิร์ต และชีสส่งผลในเชิงบวกที่ชัดเจนต่อสุขภาพหัวใจ และหลอดเลือด น่าเสียดายที่นมผ่านการพาสเจอร์ไรส์ด้วยความร้อนสูง จะทำให้สารประกอบที่เป็นประโยชน์บางอย่าง เช่น แบคทีเรีย และเอนไซม์ที่ดีจะลดลงไปความเสี่ยงจากการบริโภคชีส
บางคนมีนั้นร่างกายไวต่อชีส ชีสนั้นมีแลคโตสซึ่งเป็นน้ำตาลที่คนที่แพ้แลคโตสไม่สามารถย่อยได้ เนื่องจากร่างกายของพวกเขาขาดเอนไซม์ที่จะย่อยสลายแลคโตส โดยหากเป็นเช่นนั้นถ้าได้รับแลคโตสมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการท้องอืด หรือมีแก๊สในระบบทางเดินอาหารได้ แต่ก็มีชีสบางชนิดมีแลคโตสต่ำมาก เช่น พาร์เมซาน คนที่แพ้แลคโตสอาจรับประทานชีสตัวนี้แทนได้ คนทั่วไปที่แพ้เคซีน ซึ่งเป็นโปรตีนหลักที่พบในนม การรับประทานชีสที่แลคโตสต่ำนั้นไม่สามารถช่วยได้ ชีสเป็นอาหารที่มีแคลอรี่ปริมาณมากขึ้นอยู่กับชนิดของชีส โดยเฉลี่ยแล้วเราจะได้รับ 100 แคลอรี่ต่อชีส 1 ออนซ์ นอกจากนี้ชีสยังเต็มไปด้วยโซเดียม หากรับประทานมากเกินไปจะมีผลต่อความดันโลหิต ชีสนั้นมีไขมันสูง และผู้เชี่ยวชาญบางคนก็ยังแนะนำให้ จำกัดการบริโภคชีสซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัว สุดท้ายชีสไม่มีเส้นใย และการบริโภคนมพาสเจอร์ไรส์มากเกินไป อาจเป็นสาเหตุของอาการท้องผูกได้ประโยชน์ของชีสแต่ละประเภท
คุณค่าทางโภชนาการของชีสแต่ละประเภทนั้นแตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น มอสซาเรลล่ามี 85 แคลอรี่ และไขมัน 6.3 กรัมต่อ 1 ออนซ์ เปรียบเทียบกับบรีชีสซึ่งมี 95 แคลอรี่ และไขมัน 7.9 กรัมต่อชีส 1 ออนซ์ และเชดดาร์ชีสซึ่งมี 113 แคลอรี่ และไขมัน 9 กรัม ต่อชีส 1 ออนซ์ หากต้องการรับประทานชีสที่มีแคลอรี่ต่ำให้ลองมอสซาเรลลา แบบพร่องมันเนย สวิสชีส และเฟต้าชีส ถ้ากังวลโซเดียมให้ลองรับประทานสวิสชีสซึ่งมีเพียง 20 มิลลิกรัมต่อออนซ์ หลีกเลี่ยงชีสที่แข็งมากขึ้น เพราะในกระบวนการแข็งตัวนั้นจะมีปริมาณโซเดียมค่อนข้างมาก หากต้องการทราบว่า ชีสไขมันต่ำที่สุดคือชีสชนิดใด สามารถดูข้อมูลดังต่อไปนี้ได้บรีชีส (1 ออนซ์)
- 100 แคลอรี่
- คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม
- ไขมัน 9 กรัม
- โปรตีน 5 กรัม
- 150 มก แคลเซียม
- โซเดียม 170 มิลลิกรัม
เชดดาร์ชีส (1 ออนซ์)
- 120 แคลอรี่
- คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม
- ไขมัน 10 กรัม
- โปรตีน 7 กรัม
- แคลเซียม 200 กรัม
- โซเดียม 190 มิลลิกรัม
เฟต้าชีส (1 ออนซ์)
- 60 แคลอรี่
- คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม
- ไขมัน 4 กรัม
- โปรตีน 5 กรัม
- แคลเซียม 60 มิลลิกรัม
- โซเดียม 360 มิลลิกรัม
เกาดาชีส (1 ออนซ์)
- 110 แคลอรี่
- คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม
- ไขมัน 9 กรัม
- โปรตีน 7 กรัม
- แคลเซียม 200 มิลลิกรัม
- โซเดียม 200 มิลลิกรัม
มอสซาเรลล่าชีส (1 ออนซ์)
- 85 แคลอรี่
- คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม
- ไขมัน 6 กรัม
- โปรตีน 6 กรัม
- แคลเซียม 143 มิลลิกรัม
- โซเดียม 138 มิลลิกรัม
สวิสชีส (1 ออนซ์)
- 100 แคลอรี่
- คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม
- ไขมัน 9 กรัม
- โปรตีน 5 กรัม
- แคลเซียม 150 มิลลิกรัม
- โซเดียม 170 มิลลิกรัม
สรุปว่ากินชีสอ้วนไหม
โดยทั่วไปแล้วชีสมีรสชาติอร่อย และเป็นแหล่งของสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่หลายคนก็ตั้งคำถามว่ากินชีสอ้วนไหม การกินชีสโดยปกติแล้วจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ ยกเว้นกรณีที่คุณแพ้แลคโตส แต่สิ่งที่จะทำให้ชีสเป็นโทษต่อสุขภาพ ก็เหมือนกับการรับประทานอาหารอื่นๆ ทั่วไป นั่นคือ การรับประทานมากเกินไป มีคนที่อาศัยอยู่ในเขต “Blue zone” พวกเขามีอายุที่ยืนยาว พวกเขารับประทานผลิตภัณฑ์จากนม และอาหารประเภทชีสในปริมาณน้อย ในขณะที่รับประทานผักผลไม้ในปริมาณมาก ชีสเป็นอาหารที่อร่อยและมีประโยชน์หลากหลาย แต่มีข้อควรพิจารณาบางประการที่ควรคำนึงถึง:- มีไขมันอิ่มตัวและแคลอรี่สูง:ชีส โดยเฉพาะชีสบางชนิด เช่น เชดดาร์หรือชีสไขมันเต็ม อาจมีไขมันอิ่มตัวและแคลอรี่สูง การบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและอาจส่งผลต่อระดับคอเลสเตอรอล
- การแพ้แลคโตส:บุคคลที่แพ้แลคโตสอาจประสบปัญหาทางเดินอาหารหลังจากบริโภคชีสเนื่องจากมีแลคโตสอยู่ เลือกใช้ชีสที่ปราศจากแลคโตสหรือแลคโตสต่ำ หากมีปัญหาเรื่องการแพ้แลคโตส
- ปริมาณโซเดียม:ชีสอาจมีโซเดียมค่อนข้างสูง ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณเกลือ โดยเฉพาะผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือเป็นโรคหัวใจ
- สารก่อภูมิแพ้ที่อาจเกิดขึ้น:ชีสสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ในผู้ที่แพ้โปรตีนนมได้ สิ่งสำคัญคือต้องหลีกเลี่ยงชีสหากคุณมีอาการแพ้หรือแพ้ผลิตภัณฑ์จากนม
- ความกังวลเกี่ยวกับชีสที่บ่มและขึ้นรา:ชีสที่บ่มหรือทำให้สุกด้วยรา เช่น บลูชีส กอร์กอนโซลา หรือร็อกฟอร์ต อาจมีเชื้อรา บุคคลที่ไวต่อเชื้อราหรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องควรระมัดระวัง
- ชีสแปรรูปและสารเติมแต่ง:ผลิตภัณฑ์ชีสแปรรูปบางชนิดอาจมีสารกันบูด สารแต่งสี หรือสารเพิ่มความคงตัว สารเติมแต่งเหล่านี้อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคนและอาจนำไปสู่อาการอ่อนไหวหรือข้อกังวลด้านสุขภาพได้
- การปนเปื้อนของแบคทีเรียที่อาจเกิดขึ้น:ชีสชนิดนิ่มที่ทำจากนมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์อาจมีความเสี่ยงสูงต่อการปนเปื้อนของแบคทีเรีย ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะสำหรับสตรีมีครรภ์และบุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.webmd.com/diet/health-benefits-cheese#1
- https://www.medicalnewstoday.com/articles/299147
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น