ข้อมูลโภชนาการเกี่ยวกับบัควีต (BuckWheat)

บัควีตอยู่ในกลุ่มอาหารที่เรียกกันทั่วไปว่า Pseudocereals Pseudocereals เป็นเมล็ดพืชที่บริโภคเหมือนกับธัญพืชซีเรียล เเต่ไม่สามารถโตเองได้ในดิน โดยธัญพืชกลุ่ม Pseudocereals อื่นๆ คือ ควินัวและผักโขม บางคนอาจคิดว่าบัควีตอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับข้าวสาลี เเต่จริงเเล้วไม่เกี่ยวข้องเลยเเละนอกจากนี้บัควีตยังปราศจากกลูเตนด้วย ซึ่งบัควีตจะถูกแปรรูปนำมาทานในรูปแบบชาบัควีต หรือนำไปแปรรูปเป็นธัญพืชจำพวกแป้ง และเส้นบะหมี่ หรือกระทั่งข้าวโอ๊ตที่มีลักษณะเดียวกับข้าวเป็นโดยใช้เป็นส่วนประกอบหลักในอาหารดั้งเดิมของยุโรปและเอเชียมากมาย บัควีคได้รับความนิยมในฐานะอาหารเพื่อสุขภาพเนื่องจากมีแร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ประโยชน์ของของบัควีตอาจรวมถึงความสามารถในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ดีขึ้น บัควีตมีด้วยกันสองประเภท ได้แก่ บัควีตทั่วไป (Fagopyrum esculentum) และบัควีตทาร์ทารี (Fagopyrum tartaricum) ซึ่งทั้งสองชนิดนี้นิยมปลูกเป็นเพื่อนำมาใช้เป็นอาหารมากที่สุด ส่วนใหญ่เเล้วบัควีตจะนิยมปลูกเเละเก็บเกี่ยวในซีกโลกเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเเถบรัสเซีย คาซัคสถาน จีน และยุโรปกลางและตะวันออก

ข้อมูลทางโภชนาการ

คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารหลักที่ได้จากบัควีต แต่ในบัควีตนั้นยังมีโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆ รวมไปถึงสารต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน คุณค่าทางโภชนาการของบัควีตจะสูงกว่าธัญพืชอื่นๆ อย่างมาก โดยข้อมูลโภชนาการสำหรับบัควีตที่ไม่ผ่านการปรุงสุกขนาด 3.5 ออนซ์ หรือ 100 กรัม คือดังนี้
  • แคลอรี่: 343
  • น้ำ: 10%
  • โปรตีน: 13.3 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต: 71.5 กรัม
  • น้ำตาล: 0 กรัม
  • ไฟเบอร์: 10 กรัม
  • ไขมัน: 3.4 กรัม

คาร์โบไฮเดรต

บัควีตส่วนใหญ่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตซึ่งคิดเป็น 20% ตามน้ำหนักของข้าวโอ๊ตต้มอยู่ในรูปของแป้งซึ่งเป็นที่จัดเก็บหลักของคาร์โบไฮเดรตในพืช มีข้อมูลระบุไว้ว่า คาร์โบไฮเดรตที่ละลายน้ำได้บางชนิดในบัควีต เช่น ฟาโกไพริทอลและดี-ชิโร-อิโนซิทอล สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหารได้

ไฟเบอร์ หรือ ใยอาหาร

บัควีตมีไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารในปริมาณที่เหมาะสมและบัควีตดีต่อลำไส้ ตามน้ำหนักเเล้ว ใยอาหารคิดเป็น 2.7% ของข้าวโอ๊ตต้มซึ่งประกอบด้วยเซลลูโลสและลิกนินเป็นหลัก  ใยอาหารมีความเข้มข้นอยู่ที่เปลือกนอกที่เคลือบข้าวโอ๊ตไว้ เปลือกนอกนี้จะถูกเก็บไว้ในแป้งบัควีตสีเข้มซึ่งทำให้ได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ เปลือกนอกยังมีแป้งซึ่งทนต่อการย่อยอาหารและจัดอยู่ในประเภทไฟเบอร์ และสามารถทำให้คุณอิ่มท้องนานขึ้น ไฟเบอร์ช่วยแก้ท้องผูกหรือทำให้ท้องผูก? อ่านต่อที่นี่

โปรตีน

บัควีตประกอบด้วยโปรตีนไม่มากนัก ตามน้ำหนักเเล้ว โปรตีนคิดเป็น 3.4% ของข้าวโอ๊ตต้ม    นั่นเป็นเพราะว่าบัควีตมีคุณสมบัติของกรดอะมิโนที่สมดุล จึงทำให้โปรตีนในบัควีตมีคุณภาพสูงมากที่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนไลซีนและอาร์จินีนเป็นพิเศษ  อย่างไรก็ตาม การย่อยอาหารของโปรตีนเหล่านี้ค่อนข้างต่ำเนื่องจากสารต้านสารอาหาร เช่น สารยับยั้งโปรตีเอสและแทนนินมีอยู่ค่อนข้างมาก จากการทดลองในสัตว์พบว่า โปรตีนบัควีตได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการลดคอเลสเตอรอลในเลือด ยับยั้งการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี และลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ นอกจากนี้บัควีตยังปราศจากกลูเตนและเหมาะสำหรับผู้ที่แพ้กลูเตนอีกด้วย  buckwheat

วิตามินและแร่ธาตุ

บัควีตอุดมไปด้วยแร่ธาตุมากกว่าธัญพืชทั่วไป เช่น ข้าว ข้าวสาลี และข้าวโพด   อย่างไรก็ตาม บัควีตไม่ได้มีวิตามินสูงเท่าไหร่นัก จากสองสายพันธุ์หลักพบว่า โดยทั่วไปบัควีตทาร์ทารีมีสารอาหารมากกว่าบัควีตทั่วไป แร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในบัควีตทั่วไปมีดังต่อไปนี้ เมื่อเทียบกับแร่ธาตุอื่นๆ ในเมล็ดข้าว พบว่าบัควีตที่ปรุงสุกจะดูดซึมได้ดีเป็นพิเศษกว่าธัญพืชอื่นๆ 
  • รูติน ซึ่งเป็นโพลีฟีนอลสารต้านอนุมูลอิสระหลักในบัควีต รูตินอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง และรักษาการอักเสบ ความดันโลหิต และระดับไขมันในเลือด 
  • เควอซิติน มักพบในอาหารจากพืชหลายชนิด เควอซิตินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย รวมถึงการลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคหัวใจ
  • ไวเทซิน จากการศึกษาในสัตว์ทดลองระบุว่าไวเทกซินอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ เเต่การบริโภคมากเกินไปก็อาจทำให้ต่อมไทรอยด์โตได้
  • ดี-ไคโร-อิโนซิทอล เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ละลายน้ำได้ชนิดพิเศษที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและอาจเป็นประโยชน์ต่อการจัดการกับโรคเบาหวาน บัควีตจึงเป็นแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ที่สุดของพืชชนิดนี้ 
ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารเสริมโรคเบาหวานที่น่าสนใจ อ่านได้ที่นี่

ประโยชน์ของบัควีตต่อสุขภาพของคุณ

เช่นเดียวกับธัญพืช  Pseudocereals อื่นๆ นั่นคือบัควีตมีประโยชน์มากมาย 

ควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น

เมื่อเวลาผ่านไป ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจนำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวานระยะที่ 2 ดังนั้นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากการรับประทานอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาสุขภาพที่ดี บัควีตเป็นแหล่งใยอาหารที่ดี มีค่า GI ต่ำถึงปานกลาง ซึ่งหมายความว่าเราสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัยรวมไปถึงคนที่เป็นโรคเบาหวานระยะที่ 2 

บำรุงสุขภาพหัวใจHeart health

บัควีตอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานระยะที่ 2 ยิ่งไปกว่านั้น มันอาจช่วยเพิ่มสุขภาพของหัวใจโดยการรักษาความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด 

ข้อควรระวังที่อาจเกิดขึ้น

นอกเหนือจากการก่อให้เกิดอาการแพ้ในบางคนเเล้ว บัควีตไม่มีผลข้างเคียงอื่นๆ หากรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ

การเเพ้บัควีต

การแพ้บัควีตมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในผู้ที่บริโภคบัควีตบ่อยๆ และในปริมาณมาก ผู้ที่จะแพ้บัควีตนั้นส่วนใหญ่มักพบมากในคนที่แพ้น้ำยางหรือข้าวอยู่แล้ว อาการของการแพ้ อาจรวมถึงผื่นที่ผิวหนัง บวม ความผิดปกติทางทางเดินอาหาร และอาการช็อค อาจเป็นอาการแพ้อย่างรุนเเรง และนับได้ว่าเป็นในกรณีที่เลวร้ายที่สุด 

ใครที่ควรหลีกเลี่ยงบัควีต

แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วบัควีตจะถือว่าปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางคนที่อาจต้องใช้ความระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงโดยสิ้นเชิง:
  • โรคภูมิแพ้ : บางคนอาจมีอาการแพ้บัควีต การแพ้บัควีตเกิดขึ้นได้ค่อนข้างน้อย แต่อาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น คัน ลมพิษ บวม หายใจลำบาก และในกรณีที่รุนแรงอาจเกิดภูมิแพ้ได้ หากคุณสงสัยว่าคุณแพ้บัควีต จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการบริโภคผลิตภัณฑ์บัควีต และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อการจัดการที่เหมาะสม
  • ความไวของไฟเตต : บัควีตก็เหมือนกับธัญพืชและซีเรียลหลอกอื่นๆ โดยมีไฟเตตซึ่งเป็นสารประกอบที่สามารถจับกับแร่ธาตุบางชนิดและลดการดูดซึมในร่างกาย บางคนอาจมีความไวต่อไฟเตต และอาจรู้สึกไม่สบายทางเดินอาหารหรือขาดสารอาหาร หากพวกเขากินอาหารที่มีไฟเตตสูงในปริมาณมาก อย่างไรก็ตาม การแช่ การหมัก หรือการแตกหน่อบัควีตก่อนการบริโภคสามารถช่วยลดระดับไฟเตตและปรับปรุงการดูดซึมแร่ธาตุได้
  • ความไวของ FODMAP : บัควีตมีคาร์โบไฮเดรตหมักที่เรียกว่า FODMAPs (โอลิโกแซ็กคาไรด์ที่หมักได้ ไดแซ็กคาไรด์ โมโนแซ็กคาไรด์ และโพลีออล) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องอืด และไม่สบายท้องในบุคคลที่มีอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) หรือความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารอื่น ๆ ที่ละเอียดอ่อน ถึง FODMAP ในกรณีเช่นนี้ แนะนำให้จำกัดหรือหลีกเลี่ยงการบริโภคบักวีต หรือบริโภคในปริมาณเล็กน้อยเพื่อประเมินความทนทาน
  • ปฏิกิริยาระหว่างยา : ยาบางชนิด เช่น monoamine oxidase inhibitors (MAOIs) ที่ใช้รักษาอาการซึมเศร้า อาจมีปฏิกิริยากับอาหารบางชนิด รวมถึงบักวีต บุคคลที่รับ MAOI ควรปรึกษากับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพหรือนักโภชนาการที่ลงทะเบียนเพื่อรับคำแนะนำด้านอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้น
  • อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำหรือคีโตเจนิก : แม้ว่าบัควีตจะเป็นโฮลเกรนที่มีสารอาหารหนาแน่น แต่ก็มีคาร์โบไฮเดรตค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำหรือคีโตเจนิกอื่นๆ บุคคลที่รับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำหรือคีโตเจนิกอย่างเข้มงวดอาจจำเป็นต้องจำกัดหรือหลีกเลี่ยงบักวีตเพื่อรักษาคีโตซีสหรือบรรลุเป้าหมายการบริโภคอาหารของตน
สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือความต้องการและเกณฑ์ควบคุมอาหารของแต่ละคนแตกต่างกันไป และการปรึกษากับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพหรือนักโภชนาการที่ลงทะเบียนสามารถให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลได้ว่าบัควีตเหมาะสมที่จะรวมไว้ในอาหารของคุณหรือไม่ หากคุณมีข้อกังวลหรือสภาวะสุขภาพที่ซ่อนอยู่ วิธีที่ดีที่สุดคือขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก่อนทำการเปลี่ยนแปลงอาหารที่สำคัญ

โดยสรุป

บัควีตเป็นธัญพืช Pseudocereal ซึ่งเป็นธัญพืชชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถเติบโตได้บนดิน แต่ใช้ในลักษณะเดียวกันกับธัญพืชอื่นๆ บัควีตไม่มีส่วนประกอบของกลูเตน เเต่เป็นแหล่งไฟเบอร์ชั้นดี และยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารประกอบจากพืชหลายชนิด โดยเฉพาะรูติน ด้วยเหตุนี้ การบริโภคบัควีตจึงเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง รวมถึงการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้น
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด