ปัสสาวะรดที่นอน (Bedwetting) : อาการ สาเหตุ การรักษา

ภาพรวม

การปัสสาวะรดที่นอน (Bedwetting) คือการที่ไม่สามารถควบคุมกระเพาะปัสสาวะในเวลากลางคืน ศัพท์ทางการแพทย์เรียกการปัสสาวะรดที่นอนว่า Nocturnal enuresis ซึ่งการปัสสาวะรดที่นอนเป็นปัญหาที่ทำให้ไม่สบายใจ แต่ในหลายๆกรณีถือเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง

การปัสสาวะรดที่นอนเป็นขั้นพื้นฐานในการพัฒนาสำหรับเด็กบางคน อย่างไรก็ตามมันสามารถเป็นอาการของภาวะเจ็บป่วยหรือโรคในผู้ใหญ่ ร้อยละ 2 ของผู้ใหญ่ที่เคยปัสสาวะรดที่นอน อาจมาจากหลายสาเหตุและอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษา

สาเหตุของการปัสสาวะรดที่นอน

สภาวะทางกายและจิตใจสามารถทำให้บางคนเกิดการปัสสาวะรดที่นอน สาเหตุทั่วไปในเด็กและผู้ใหญ่ที่มีการปัสสาวะรดที่นอนได้แก่:

ระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุลสามารถเป็นเหตุให้เกิดการปัสสาวะรดที่นอนในบางคน ในร่างกายของทุกคนจะสร้างฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะขึ้น (Antidiuretic hormone :ADH) ฮอร์โมนดังกล่าวจะบอกให้ร่างกายชะลอการผลิตปัสสาวะตลอดคืน ระดับที่ต่ำของปัสสาวะจะช่วยให้กระเพาะปัสสาวะขนาดปกติสามารถเก็บปัสสาวะไว้ได้ตลอดคืน

Bedwetting

ผู้ที่ร่างกายสร้างฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะไม่เพียงพอจะเกิดการปัสสาวะในเวลากลางคืน เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะไม่สามารถกักเก็บปริมาณปัสสาวะที่มากขึ้นได้

โรคเบาหวานก็เป็นอีกหนึ่งความผิดปกติที่เป็นเหตุให้เกิดการปัสสาวะรดที่นอนในผู้ใหญ่ หากคุณป่วยเป็นโรคเบาหวาน ร่างกายของคุณจะไม่สามารถนำกลูโคสหรือน้ำตาลมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ และอาจผลิตปัสสาวะในปริมาณที่มากขึ้น การผลิตปัสสาวะที่มากขึ้นเป็นเหตุให้เด็กและผู้ใหญ่ที่ปกติไม่ปัสสาวะตอนกลางคืนเกิดการปัสสาวะรดที่นอนได้

ปัจจัยเสี่ยงของการปัสสาวะรดที่นอน

เพศและพันธุกรรมเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักในการนำไปสู่การปัสสาวะรดที่นอนในเด็ก ทั้งเด็กหญิงและชายอาจมีประสบการณ์การปัสสาวะรดที่นอนในช่วงเป็นเด็กเล็กอายุ 3-5 ปี แต่ในเด็กชายจะมีภาวะดังกล่าวต่อเนื่องไปจนโต

ประวัติครอบครัวก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน เด็กจะมีแนวโน้มปัสสาวะรดที่นอนหากผู้ปกครองพี่น้อง หรือสมาชิกคนอื่นในบ้านเคยปัสสาวะรดที่นอน โดยมีโอกาสเกิดกว่าร้อยละ 70 หากทั้งพ่อและแม่เคยปัสสาวะรดที่นอนในวัยเด็ก

การปัสสาวะรดที่นอนมักพบได้บ่อยในผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะสมาธิสั้น (Attention deficit hyperactivity disorder :ADHD) นักวิจัยยังไม่พบความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการปัสสาวะรดที่นอนและภาวะสมาธิสั้น

การปรับวิถีชีวิตเพื่อจัดการกับการปัสสาวะรดที่นอน

การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตบางอย่างอาจช่วยยุติการปัสสาวะรดที่นอนได้ สำหรับผู้ใหญ่ การจำกัดปริมาณของเหลวเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเกิดปัสสาวะรดที่นอน พยายามไม่ดื่มน้ำหรือของเหลวอื่นๆก่อนนอน 2-3 ชม.เพื่อลดความเสี่ยงในการปัสสาวะรดที่นอน

ควรดื่มของเหลวส่วนใหญ่ในแต่ละวันก่อนถึงเวลามื้อค้ำ แต่อย่าไปจำกัดปริมาณของเหลวโดยรวมของคุณ การทำเช่นนี้จะช่วยให้กระเพาะปัสสาวะว่างเมื่อถึงเวลาเข้านอน สำหรับเด็ก การจำกัดของเหลวก่อนเข้านอนไม่สัมพันธ์กับการลดลงของการปัสสาวะรดที่นอน

การลองงดคาเฟอีน หรือดื่มแอลกอฮอร์ในตอนเย็น คาเฟอีนและแอลกอฮอร์จะไประคายเคืองกระเพาะปัสสาวะและกระตุ้นให้ขับปัสสาวะ จึงเป็นเหตุให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น

การเข้าห้องน้ำก่อนเข้านอนเพื่อให้กระเพาะปัสสาวะว่างก่อนนอนนั้นสามารถช่วยได้

ปัสสาวะรถที่นอนในเด็ก

ช่วงชีวิตในวัยเด็กที่มีความเครียดทำให้บางครั้งเป็นเหตุให้เกิดปัสสาวะรดที่นอน ความขัดแย่งกับที่บ้าน หรือโรงเรียนอาจเป็นสาเหตุให้เด็กฝันร้ายจนปัสสาวะรดที่นอนในตอนกลางคืน ตัวอย่างอื่นๆที่ทำให้เกิดภาวะเครียดในเด็กและอาจไปกระตุ้นให้เกิดการปัสสาวะรดที่นอนได้แก่:

  • การเกิดของน้อง

  • การย้ายที่อยู่ใหม่

  • การเปลี่ยนแปลงอื่นในกิจวัตรประจำวัน

การพูดคุยกับเด็กถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น การทำความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจเด็กจะช่วยให้เด็กรู้สึกดีขึ้นในเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งจะทำให้เด็กสามารถหยุดและก้าวผ่านพฤติกรรมการปัสสาวะรดที่นอนได้

แต่ในเด็กที่กลับมามีการปัสสาวะรดที่นอนอีกครั้ง ทั้งที่ไม่เกิดการปัสสาวะรดที่นอนกว่า 6 เดือน อาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางสุขภาพ ควรปรึกษากุมารแพทย์เกี่ยวกับการปัสสาวะรดที่นอนครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นโดยไม่สามารถจัดการได้ด้วยตนเองภายในสัปดาห์หรือมากกว่านั้นหรือมีอาการอื่นๆร่วมด้วย

หลีกเลี่ยงการลงโทษลูกจากเหตุการณ์ปัสสาวะรดที่นอน สิ่งสำคัญคือการพูดคุยอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาเกี่ยวกับการปัสสาวะรดที่นอนที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจว่ามันจะหยุดได้ในที่สุด

นอกจากนี้ การอนุญาตและส่งเสริมให้ลูกมีความรับผิดชอบมากขึ้นตามวัย เช่น การนำผ้าแห้งมาเช็ดเมื่อตื่นจากการปัสสาวะรดที่นอน เปลี่ยนชุดนอนและชุดชั้นในที่เปียกให้เรียบร้อย

ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยออกแบบการเลี้ยงดูและสนับสนุนสิ่งแวดล้อมเพื่อบุตรหลานของคุณ

ระหว่างที่มีการปัสสาวะรดที่นอนอาจเป็นเรื่องปกติในเด็กเล็ก ให้พูดคุยกับกุมารแพทย์หากลูกของคุณอายุเกิน 5 ปีและยังคงมีปัสสาวะรดที่นอน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ภาวะนี้อาจหยุดได้เองเมื่อลูกของคุณเข้าสู่วัยแรกรุ่น

การรักษาการปัสสาวะรดที่นอน

การปัสสาวะรดที่นอนที่เกิดจากสภาวะทางการแพทย์จำเป็นต้องรับการรักษานอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ยาสามารถรักษาอาการต่างๆได้ ซึ่งการปัสสาวะรดที่นอนเป็นอาการอย่างหนึ่ง ตัวอย่างเช่น:

  • ยาปฏิชีวนะสามารถกำจัดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้

  • ยาต้านโคลิเนอจิก (Anticholinergic drugs) ช่วยให้ลดการระคายเคืองของกระเพาะปัสสาวะ

  • เดสโมเพรสซิน (Desmopressin acetate) จะเพิ่มระดับของฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะ ให้ผลิตปัสสาวะช้าลงในเวลากลางคืน

  • ยาที่ขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนดีไฮโดรเทสโทสสเตอโรน (Dihydrotestosterone :DHT) จะลดการบวมของต่อมลูกหมาก

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการควบคุมภาวะเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ การปัสสาวะรดที่นอนเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการแพทย์ควรแก้ไขด้วยการจัดการอย่างเหมาะสม

การตัวเองดูแลที่บ้าน

เด็กส่วนใหญ่จะเริ่มปัสสาวะรดที่นอนหลังอายุ 6 ปี โดยวัยนี้การควบคุมกระเพาะปัสสาวะจะแข็งแรงและพัฒนาเต็มที่มากขึ้น การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต, การรรักษาด้วยยา และการสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนช่วยให้เด็กและผู้ใหญ่เอาชนะการปัสสาวะรดที่นอนได้

ระหว่างที่จะเอาชนะการปัสสาวะรดที่นอนโดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต คุณยังคงต้องไปพบแพทย์เพื่อแยกแยะสาเหตุทางการแพทย์อื่นที่เป็นไปได้ นอกจากนี้ควรไปพบแพทย์หากคุณไม่เคยปัสสาวะรดที่นอน แต่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

ภาวะแทรกซ้อนปัสสาวะรดที่นอน

การปัสสาวะรดที่นอน โดยทั่วไปจะถือว่าเป็นเรื่องปกติของพัฒนาการสำหรับเด็กเล็ก แต่ก็อาจกลายเป็นภาวะแทรกซ้อนหรือข้อกังวลในบางสถานการณ์ได้ ต่อไปนี้เป็นภาวะแทรกซ้อนหรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการปัสสาวะรดที่นอน:
  • ผลกระทบทางสังคมและอารมณ์ : การปัสสาวะรดที่นอนอาจนำไปสู่ปัญหาทางสังคมและอารมณ์ โดยเฉพาะในเด็กโตและวัยรุ่น พวกเขาอาจประสบกับความอับอาย ความอับอาย ความนับถือตนเองต่ำ และการแยกตัวออกจากสังคมเนื่องจากกลัวว่าจะถูกเพื่อนล้อเลียน 
  • ความเครียดในครอบครัว : การปัสสาวะรดที่นอนอาจทำให้เกิดความเครียดและความคับข้องใจภายในครอบครัวได้ เนื่องจากพ่อแม่อาจกังวลหรือไม่พอใจกับการฉี่รดที่นอนของลูก สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ความตึงเครียดและความขัดแย้งที่บ้านได้
  • ปัญหาการนอนหลับ : ทั้งเด็กและผู้ปกครองอาจประสบปัญหาการนอนหลับหยุดชะงักเนื่องจากการปัสสาวะรดที่นอน การตื่นเพื่อเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและเสื้อผ้าบ่อยครั้งอาจทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ ส่งผลต่อความเป็นอยู่โดยรวม
  • ปัญหาผิวหนัง : การสัมผัสกับปัสสาวะเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังหรือมีผื่นบริเวณอวัยวะเพศของเด็กได้ สิ่งนี้อาจไม่สบายตัวและอาจต้องไปพบแพทย์
  • การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTIs) : เด็กที่ปัสสาวะรดที่นอนบ่อยๆ อาจมีความเสี่ยงในการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะสูงขึ้นเล็กน้อย โรคอุจจาระร่วงอาจทำให้รู้สึกไม่สบายและอาจต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
  • อาการท้องผูก : อาการท้องผูกเรื้อรังบางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับการปัสสาวะรดที่นอน การแก้ปัญหาอาการท้องผูกอาจช่วยให้อาการปัสสาวะรดที่นอนดีขึ้นได้ในบางกรณี
  • พัฒนาการล่าช้า : ในบางกรณี การปัสสาวะรดที่นอนอาจเป็นสัญญาณของสภาวะทางการแพทย์ที่สำคัญ เช่น ความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะหรือความผิดปกติของการนอนหลับ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาการเหล่านี้อาจส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก
สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าเด็กจำนวนมากโตเร็วกว่าการปัสสาวะรดที่นอนโดยไม่มีการแทรกแซง อย่างไรก็ตาม หากการปัสสาวะรดที่นอนก่อให้เกิดความทุกข์ทางสังคมหรืออารมณ์อย่างมาก หรือหากยังคงดำเนินต่อไปจนเกินอายุที่ถือว่ามีพัฒนาการปกติ (โดยปกติคือประมาณอายุ 6 ขวบ) แนะนำให้ไปพบแพทย์ ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพสามารถช่วยระบุสาเหตุที่ซ่อนอยู่และแนะนำการรักษาหรือกลยุทธ์ที่เหมาะสม ซึ่งอาจรวมถึงการบำบัดพฤติกรรม การใช้ยา หรือแก้ไขอาการทางการแพทย์ใดๆ ที่ทำให้เกิดการปัสสาวะรดที่นอน

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

  • https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/bed-wetting/symptoms-causes/syc-20366685

  • https://www.nhs.uk/conditions/bedwetting/

  • https://www.webmd.com/sleep-disorders/bedwetting-causes

  • https://kidshealth.org/en/teens/enuresis.html


เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด