ยาอะซาไธโอพรีน (Azathioprine)

ยา

21.11.2567

ยา Azathioprine คืออะไร

ยาอะซาไธโอพรีน (Azathioprine) ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ “ปฏิเสธ” อวัยวะที่ปลูกถ่ายใหม่ เช่น ไต การปฏิเสธอวัยวะเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันปฏิบัติต่ออวัยวะใหม่ในฐานะผู้บุกรุก และโจมตีอวัยวะดังกล่าว ยาอะซาไธโอพรีนใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายของคุณปฏิเสธไตที่ปลูกถ่ายยาอะซาไธโอพรีนจะใช้ในการรักษาอาการของโรคไขข้ออักเสบ อาจใช้ยาอะซาไธโอพรีน เพื่อจุดประสงค์ที่ไม่ได้ระบุไว้ในคู่มือการใช้ยานี้

ก่อนรับประทานยานี้

คุณไม่ควรรับประทานยาอะซาไธโอพรีน หากคุณแพ้ ยาอะซาไธโอพรีน คุณไม่ควรใช้ยาอะซาไธโอพรีน ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์หากคุณกำลังตั้งครรภ์ ยานี้อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ ใช้การคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ขณะใช้ยานี้ ยาอะซาไธโอพรีนอาจทำให้เกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (มะเร็ง) ที่ตับ ม้าม และไขกระดูกที่หายากซึ่งอาจถึงแก่ชีวิตได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในวัยรุ่น และคนหนุ่มสาวที่มีโรคโครห์น หรือแผลในลำไส้ใหญ่ อย่างไรก็ตามใครก็ตามที่มีโรคภูมิต้านตนเองจากการอักเสบอาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง พูดคุยกับแพทย์ของคุณเกี่ยวกับความเสี่ยงของคุณเอง ขณะรับประทานยาอะซาไธโอพรีน คุณอาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนัง ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการทางผิวหนังที่ต้องระวัง แจ้งแพทย์ให้ทราบเกี่ยวกับประวัติการรักษาที่สำคัญต่อไปนี้

โรคไตหรือการปลูกถ่ายไต (ถ้าคุณใช้ยาอะซาไธโอพรีน สำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์)
การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อราชนิดใดก็ได้
โรคตับ
เคมีบำบัดด้วยยา เช่น cyclophosphamide , chlorambucil , melphalan, busulfan และอื่น ๆ

ไม่ควรใช้ยาอะซาไธโอพรีนในสตรีที่กำลังให้น้ำนมบุตร

คำเตือน

ยาอะซาไธโอพรีนอาจทำให้เกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (มะเร็ง) ที่ตับ ม้าม และไขกระดูกที่หายากซึ่งอาจถึงแก่ชีวิตได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในวัยรุ่น และคนหนุ่มสาวที่มีโรค โครห์น หรือลำไส้ใหญ่ azathioprine

วิธีใช้ยาอะซาไธโอพรีน

แพทย์ของคุณจะทำการตรวจเลือด เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่มีเงื่อนไขที่จะทำให้การใช้ยาอะซาไธโอพรีนเป็นอันตราย ใช้ยาอะซาไธโอพรีนตามคำแนะนำบนฉลากใบสั่งยาของคุณ และอ่านคู่มือการใช้ยาหรือเอกสารคำแนะนำทั้งหมด แพทย์ของคุณอาจเปลี่ยนขนาดยาเป็นครั้งคราว แต่ให้ใช้ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เมื่อให้การปลูกถ่ายไต แพทย์จะให้ยาอะซาไธโอพรีนก่อนหรือในวันที่ปลูกถ่าย สำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ยาอะซาไธโอพรีนจะถูกใช้เป็นประจำทุกวัน อาจใช้เวลาถึง 8 สัปดาห์ก่อนที่อาการของคุณจะดีขึ้น ใช้ ยาอะซาไธโอพรีนตามคำแนะนำและแจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการของคุณไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ 12 สัปดาห์ กรณีที่ยาอะซาไธโอพรีนทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน ให้รับประทานอาหารเพื่อลดอาการ คุณอาจไม่สามารถรับประทานยารักษาโรคข้ออักเสบอื่นๆ ร่วมกับอะซาไธโอพรีนได้ อย่าเปลี่ยนขนาดยาหรือตารางการจ่ายยาโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ ยาอะซาไธโอพรีนส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของคุณ คุณอาจติดเชื้อได้ง่ายขึ้น แม้กระทั่งการติดเชื้อร้ายแรงหรือถึงแก่ชีวิต แพทย์จะต้องตรวจคุณเป็นประจำ

ผลข้างเคียงของอะซาไธโอพรีน

รับความช่วยเหลือทางการแพทย์ฉุกเฉินหากคุณมีสัญญาณของอาการแพ้ยาต่อไปนี้ ลมพิษ หายใจลำบาก ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอคอบวม ยาอะซาไธโอพรีนอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในสมองอย่างรุนแรงซึ่งอาจนำไปสู่ความพิการ หรือเสียชีวิตได้ พบแพทย์ทันทีหากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับการพูด ความคิด การมองเห็น หรือการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ อาการเหล่านี้อาจเริ่มทีละน้อย และจะแย่ลงอย่างรวดเร็ว หยุดใช้ยาอะซาไธโอพรีน และพบแพทย์ของคุณทันที หากคุณมีอาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองดังต่อไปนี้

ไข้
ปวดเมื่อยตามร่างกาย
เหงื่อออกตอนกลางคืน
รู้สึกไม่สบาย
ผิวซีด
ผื่น
ช้ำหรือเลือดออกง่าย
มือและเท้าเย็นรู้สึกเบา
หายใจไม่ออก
ปวดท้องตอนบนที่อาจลามไปถึงไหล่
รู้สึกอิ่มหลังจากรับประทานอาหารเพียงเล็กน้อย
น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ

รวมทั้งอาการต่อไปนี้

สัญญาณของการติดเชื้อ (ไข้ หนาวสั่น อ่อนแอ อาการไข้หวัด ใหญ่ เช่น เจ็บคอ ไอ ปวด หรือแสบร้อน เมื่อคุณปัสสาวะ)
คลื่นไส้รุนแรง
อาเจียนหรือท้องเสีย
ช้ำง่ายเลือดออกผิดปกติ
หัวใจเต้นเร็วหายใจถี่
ผิวซีด
มือ และเท้าเย็น
ปัสสาวะสีเข้ม
อาการดีซ่าน (เหลืองของผิวหนัง หรือดวงตา)

ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยได้แก่

คลื่นไส้
ท้องร่วง
ปวดท้อง
ผมร่วง
ผื่นที่ผิวหนัง

นี่เป็นเพียงผลข้างเคียงบางประการของยาอะซาไธโอพรีน หากมีความผิดปกติอื่นๆ หรือข้อสงสัยใดๆ โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย

ปฏิกิริยาระหว่างยา

Azathioprine สามารถโต้ตอบกับยาได้หลายชนิด:

Allopurinol : เพิ่มความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ของ azathioprine โดยจำเป็นต้องปรับขนาดยา
Warfarin : อาจลดฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด
สารยับยั้ง ACE : สามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคโลหิตจางและเม็ดเลือดขาว
ยากดภูมิคุ้มกันอื่นๆ : การบำบัดแบบผสมผสานจะเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อและการกดไขกระดูก