โรคหลอดเลือดแดงแข็งคืออะไร
โรคหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) คือโรคที่หลอดเลือดแดงตีบตันเพราะเกิดการสะสมของตะกอน หลอดเลือดแดงคือเส้นเลือดที่ทำหน้าที่นำพาออกซิเจนและสารอาหารจากหัวใจไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย
โรคหลอดเลือดแดงแข็งคือภาวะผนังเส้นโลหิตแดงหนาและมีความยืดหยุ่นน้อยรูปแบบหนึ่ง หรือที่รู้จักกันดีว่าเส้นเลือดแข็งตัว ซึ่งเราอาจเรียกชื่อโรคทั้งสองอย่างแทนกันได้
เมื่อคุณเริ่มมีอายุมากขึ้น ไขมัน คอเรสเตอรอล และแคลเซียมก็จะเริ่มสะสมในหลอดเลือดและมีคราบตะกอนก่อตัวขึ้น เมื่อคราบก่อตัวขึ้นจะทำให้เลือดไหลเวียนผ่านหลอดเลือดแดงยาก การสะสมนี้อาจเกิดขึ้นในหลอดเลือดได้ทุกที่ รวมไปถึงที่บริเวณหัวใจ ขาและไต
ส่งผลให้มีเลือดและออกซิเจนไม่เพียงพอสำหรับเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย คราบตะกอนสะสมอาจสลายแตกตัวออกเป็นชิ้นๆ เป็นสาเหตุของลิ่มเลือด หากทิ้งไว้โดยไม่รักษา โรคหลอดเลือดแดงแข็งก็สามารถนำไปสู่ภาวะหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง หรือหัวใจล้มเหลว
โรคหลอดเลือดแดงแข็งคือปัญหาที่พบได้ทั่วไปมักเกิดร่วมกับเรื่องของอายุ โรคนี้สามารถป้องกันได้และมีทางเลือกในการรักษาที่ประสบความสำเร็จมากมาย
อาการของโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
อาการส่วนใหญ่ของโรคหลอดเลือดแดงแข็งมักไม่แสดงอาการจนกว่าจะเกิดการอุดตันขึ้น อาการทั่วไปที่พบคือ:
-
เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก
-
เจ็บที่ขา แขนและทุกที่ที่หลอดเลือดเกิดการอุดตัน
-
หายใจสั้น
-
เกิดอาการสับสน เกิดขึ้นเมื่อการอุดตันนั้นส่งผลต่อระบบการไหลเวียนของสมอง
-
กล้ามเนื้ออ่อนแรงที่ขา
อาการของโรคหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง เป็นสิ่งสำคัญที่ควรรู้ไว้ เพราะโรคทั้งสองอย่างอาจมีสาเหตุมาจากโรคหลอดเลือดแดงแข็ง และเป็นโรคที่ต้องการการดูแลอย่างเร่งด่วน
อาการของโรคหัวใจวายคือ:
-
เจ็บหน้าอกหรือรู้สึกไม่สบาย
-
เจ็บบริเวณหัวไหล่ หลัง คอ แขนและกราม
-
หายใจสั้น
-
มีเหงื่อออก
อาการของโรคหลอดเลือดสมองคือ:
-
อ่อนแรงหรือชาที่บริเวณใบหน้าหรือแขนขา
-
มีปัญหาในการพูด
-
ยากที่จะเข้าใจคำพูด
-
มีปัญหาการมองเห็น
-
สูญเสียการทรงตัว
-
ปวดศีรษะรุนแรงและฉับพลัน
ทั้งโรคหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองภาวะฉุกเฉิน โทรเรียกรภพยาบาลและรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้หากคุณมีภาวะโรคหัวใจวายหรือโรดหลอดเลือดสมอง
สาเหตุของโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
คราบตะกอนที่เกิดจากการสะสมและภาวะที่เลือดไหลเวียนในหลอดเลือดถูกจำกัดซึ่งมีการแข็งตัวตามมาภายหลัง ทำให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะนั้นๆ
สาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดมีการแข็งตัวคือ:
คอเรสเตอรอลสูง
คอเรสเตอรอลคือสสารสีเหลืองคล้ายขี้ผึ้ง ที่พบได้ในร่างกายตามธรรมชาติเหมือนกับที่พบในอาหารที่เรารับประทานเข้าไป
หากมีระดับคอเรสเตอรอลในเลือดสูงเกินไป คอเรสเตอรอลนี้อาจไปอุดกั้นหลอดเลือดของเราได้ โดยเริ่มจากคราบแข็งที่ไปขัดขวางหรือกีดกั้นการไหลเวียนโลหิตสู่หัวใจและอวัยวะอื่นๆ
อาหาร
การรับประทานอาหารที่ดีต่อสขภาพเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกาได้ให้คำแนะนำถึงรูปแบบอาหารเพื่อสุขภาพที่คุณสามารถปฏิบัติตามได้ไว้ดังต่อไปนี้ :
-
รับประทานอาหารจำพวกผักและผลไม้ที่หลากหลาย
-
โฮลเกรน
-
ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ
-
สัตว์ปีกและปลาไม่ติดหนัง
-
ถั่วต่างๆและลิกูม
-
น้ำมันพืช เช่นน้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน
ข้อแนะนำสำหรับอาหาร:
-
หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีการเติมน้ำตาล เช่นเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ลูกอมและขนมหวาน สมาคมโรคหัวใจระบุไว้ว่าผู้หญิงไม่ควรบริโภคน้ำตาลมากกว่า 6 ช้อนชาหรือ 100 แคลลอรี่ต่อวัน และไม่ควรเกิน 9 ช้อนชาหรือ 150 แคลลอรี่ต่อวันในผู้ชาย
-
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีปริมาณเกลือสูง ปริมาณโซเดียมไม่ควรมากกว่า 2300 มิลลิแกรมต่อวัน ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ไม่ควรเกิน 1500 มิลลิแกรมต่อวัน
-
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันไม่ดีสูง เช่นไขมันทรานส์ และเลือกรับประทานที่มีไขมันไม่อิ่มตัวทดแทน หากคุณต้องการลดคอเรสเตอรอลในเลือด ควรลดไขมันชนิดอิ่มตัวลงและไม่ควรเกิน 5-6 เปอร์เซนต์ของแคลลอรี่ทั้งหมด สำหรับคนที่รับประทานอาหารวันละ 2000 แคลลอรี่ ปริมาณไขมันอิ่มตัวก็อยู่ที่ประมาณ 13กรัม
อายุ
เมื่ออายุมากขึ้น หัวใจและหลอดเลือดของคุณจะต้องทำงานหนักในการสูบฉีดเลือด หลอดเลือดของคุณอาจอ่อนแอและเริ่มยืดหยุ่นได้น้อยลง ยิ่งทำให้หลอดเลือดอ่อนแอลงเมื่อเกิดคราบตะกอนสะสม
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
มีหลายปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแดงแข็งได้ บางความเสี่ยงสามารถแก้ไขได้ แต่บางอย่างก็ไม่สามารถทำได้
ปาะวัติครอบครัว
หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็ง คุณก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้ด้วยเช่นกัน อาจได้รับการถ่ายทอดมา ซึ่งโรคนี้มักมีปัญหาเกี่ยวพันกับหัวใจด้วย
ขาดการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ดีต่อหัวใจ ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงและยังช่วยเสริมให้ออกซิเจนและการไหลเวียนเลือดไปทั่วร่างกายได้ดีมากขึ้น
การใช้ชีวิตเรื่อยๆเนือยๆยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคบางอย่าง เช่นโรคหัวใจ เป็นต้น
ระดับความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงอาจสร้างความเสียหายต่อเส้นเลือดด้วยการทำให้เกิดความอ่อนแอในบางพื้นที่ เมื่อเวลาผ่านไปอย่างช้าๆคอเรสเตอรอลและสสารที่อยู่ในเลือดจะไปลดความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลง
การสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่สามารถทำความเสียหายให้กับหลอดเลือดและหัวใจ
โรคเบาหวาน
คนที่เป็นโรคเบาหวานมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้สูง
การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
แพทย์จะตรวจร่างกายหากคุณมีอาการโรคหลอดเลือดแดงแข็ง โดยดูจากสิ่งต่อไปนี้:
- ชีพจรเต้นอ่อน
- หลอดเลือดแดงโป่งพอง คือหลอดเลือดมีการขยายใหญ่หรือปูดอย่างผิดปกติเนื่องจากผนังหลอดเลือดแดงอ่อนแอ
- แผลหายช้า ซึ่งบ่งชี้ได้ว่าการไหลเวียนเลือดถูกจำกัด
อายุรแพทย์หัวใจอาจฟังเสียงหัวใจเพื่อดูเสียงที่อาจผิดปกติ แพทย์จะฟังเพื่อหาเสียงฟู่ ซึ่งสามารถบ่งชี้ได้ว่าหลอดเลือดมีการถูกปิดกั้น แพทย์จะสั่งตรวจเพิ่มเติมหากคิดว่าคุณอาจเป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
การตรวจอาจมีวิธีดังต่อไปนี้:
-
การตรวจเลือดเพื่อเช็คระดับคอเรสเตอรอล
-
การตรวจดอปเพลอร์อัลตราซาวด์ คือการใช้คลื่นเสียงในการสร้างภาพของหลอดเลือด ที่จะแสดงตำแหน่งของการอุดตันหากมีเกิดขึ้นในหลอดเลือด
-
การตรวจด้วย ankle-brachial index (ABI) เป็นการตรวจเพื่อหาการอุดตันที่แขนหรือขา ด้วยการเปรียบเทียบความดันเลือดในแขนขาแต่ละข้าง
-
การตรวจ magnetic resonance angiography (MRA) หรือ computed tomography angiography (CTA) ในการสร้างภาพหลอดเลือดใหญ่ในร่างกายของเรา
-
การตรวจ a cardiac angiogram เป็นการเอกซเรย์ปอดรูปแบบหนึ่ง ที่ทำหลังจากฉีดสารกัมมันตภาพรังสีเข้าไปที่หลอดเลือดหัวใจ
-
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG or EKG) ซึ่งไว้วัดการทำงานของหัวใจเพื่อมองหาบริเวณที่การไหลเวียนของเลือดลดน้อยลง
-
การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย โดยการเฝ้าติดตามดูอัตราการเต้นของหัวใจและความดันเลือดในขณะออกกำลังกายบนลู่วิ่งหรือจักรยานออกกำลังกาย
การรักษาโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
การรักษารวมไปถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตเพื่อเป็นการลดจำนวนไขมันและคอเรสเตอรอลจากการบริโภค คุณอาจต้องการการออกกำลังกายเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้หัวใจและหลอดเลือดของคุณดีขึ้น
เว้นแต่ว่าโรคหลอดเลือดแดงแข็งของคุณมีความรุนแรง แพทย์อาจจะแนะนำการเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตเป็นหนึ่งในการรักษาร่วมกับการรักษาทางการแพทย์ เช่นการใช้ยาหรือการผ่าตัด
การรักษาด้วยา
ยาจะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โรคหลอดเลือดแดงแข็งมีอาการแย่ลง
ยาที่ใช้รักษาโรคหลอดเลือดแดงแข็ง เช่น:
-
ยาลดไขมันในกระแสเลือด รวมถึงสแตตินและไฟเบรท
-
ตัวยับยั้งแองจิดอเทนซิน-คอนเวอร์ติง เอนไซม์ เป็นยาช่วยป้องกันไม่ให้หลอดเลือดตีบแคบ
-
ยาเบต้า บล็อกเกอร์ หรือ ยาต้านแคลเซียม ที่มีไว้เพื่อลดความดันโลหิต
-
ยาขับปัสสาวะเพื่อช่วยลดความดันโลหิตลง
-
ยาต้านเกล็ดเลือดและยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่นยาแอสไพริน ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เลือดเป็นลิ่มและไปอุดตันที่หลอดเลือด
ยาแอสไพรินคือยาที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด (เช่น หัวใจวาย หรือโรคหลอดเลือดสมอง) การทานยาแอสไพรินอย่างเคร่งครัดสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่นได้
การผ่าตัด
การผ่าตัดมักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง หรือเกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อ
การผ่าตัดสำหรับโรคหลอดเลือดแดงแข็งเพื่อรักษาอาจทำได้โดย:
-
การทำบายพาส เป็นการใช้หลอดเลือดจากส่วนอื่นในร่างกายหรือท่อสังเคราะห์ในการทำทางเบี่ยงให้เลือดในบริเวณที่หลอดเลือดถูกปิดกั้นหรือตีบแคบ
-
การให้ยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งช่วยให้ลิ่มเลือดจางหายไปโดยการฉีดยาเข้าไปยังบริเวณหลอดเลือดที่โดนผลกระทบ
-
การผ่าตัดขยายหลอดเลือด โดยการใช้สายสวนและบอลลูนเข้าขยายหลอดเลือด ในบางครั้งอาจมีการใส่ขดลวดเข้าไปเพื่อทำให้หลอดเลือดเปิด
-
การผ่าตัดเปิดหลอดเลือด คือการผ่าตัดเพื่อกำจัดตะกรันไขมันออกจากหลอดเลือด
สิ่งที่ควรคาดหวังในระยะยาวคืออะไร
จากการรักษา อาจทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้น เพียงแต่อาจใช้เวลานาน การรักษาจะประสบผลสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับสิ่งต่อไปนี้:
-
ความรุนแรงของโรค
-
การรักษาทันท่วงที
-
อวัยวะที่มีผลกระทบ
หลอดเลือดที่แข็งไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ แต่การรักษาถุงสาเหตุและมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตและโภชนาการจะสามารถช่วยชะลอกระบวนการหรือป้องกันโรคไม่ให้แย่ลงได้
ควรปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต คุณอาจได้รับยาเพื่อควบคุมอาการของโรคและเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
โรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดร่วมกับโรคหลอดเลือดแดงแข็งคือโรคอะไรบ้าง
โรคหลอดเลือดแข็งสามารถทำให้เกิดสิ่งต่อไปนี้:
-
หัวใจล้มเหลว
-
หัวใจวาย
-
โรดหลอดเลือดสมอง
-
เสียชีวิต
การป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
เมื่อรูปแบบการดำเนินชีวิตเปลี่ยนไปก็จะสามารถช่วยในการป้องกันได้ดีพอกับการรักษาโรคหลอดเลือดแข็งได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตดังต่อไปนี้สามารถช่วยป้องกันโรคได้:
-
การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพด้วยการลดจำนวนไขมันอิ่มตัว และคอเรสเตอรอลให้น้อยลง
-
การหลีกเลี่ยงอาหารที่เต็มไปด้วยไขมัน
-
รับประทานปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง
-
ออกกำลังแบบหนักอย่างน้อย 75 นาที หรือ แบบปานกลางอย่างน้อย 150 นาที ต่อสัปดาห์
-
เลิกสูบบุหรี่
-
จัดการความเครียด
-
รักษาโรคที่เกิดร่วมกับโรคหลอดเลือดแดงแข็ง เช่นโรคความดันโลหิตสูง คอเรสเตอรอลสูง และโรคเบาหวาน
โภชนาการที่แนะนำของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
โภชนาการมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและการจัดการภาวะหลอดเลือด ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมของคราบพลัคในหลอดเลือดแดง หลอดเลือดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และปัญหาหัวใจและหลอดเลือดอื่นๆ ต่อไปนี้เป็นแนวทางการบริโภคอาหารและคำแนะนำเพื่อช่วยป้องกันหรือจัดการโรคหลอดเลือด:- ลดไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์:จำกัดการบริโภคไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์เนื่องจากอาจทำให้ระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) เพิ่มขึ้น อาหารที่มีไขมันเหล่านี้สูง ได้แก่ เนื้อแดง ผลิตภัณฑ์นมไขมันเต็ม อาหารทอด และของขบเคี้ยวแปรรูปและบรรจุหีบห่อมากมาย เลือกแหล่งโปรตีนไร้ไขมันและเลือกอาหารที่มีไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
- เพิ่มไขมันไม่อิ่มตัว:รวมแหล่งของไขมันไม่อิ่มตัวในอาหารของคุณ ไขมันเหล่านี้สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีและลดการอักเสบได้ แหล่งที่ดี ได้แก่ น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่ว และปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล และปลาเทราท์
- กินไฟเบอร์มากขึ้น:อาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผลไม้ ผัก และพืชตระกูลถั่ว สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและปรับปรุงสุขภาพของหัวใจได้ ตั้งเป้าได้รับใยอาหารอย่างน้อย 25-30 กรัมต่อวัน
- จำกัดปริมาณน้ำตาลที่เพิ่ม:การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคอ้วนและปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ในการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัวได้ ลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ขนมหวาน และอาหารแปรรูปที่เติมน้ำตาล
- เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ:สารต้านอนุมูลอิสระสามารถช่วยปกป้องหลอดเลือดแดงของคุณจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ กินผักและผลไม้หลากสีสัน รวมถึงอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซีและอี
- การบริโภคแอลกอฮอล์ในระดับปานกลาง:หากคุณเลือกที่จะดื่มแอลกอฮอล์ ให้ดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับปานกลางอาจมีประโยชน์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด แต่การดื่มมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัวได้
- การควบคุมน้ำหนัก: หลีกเลี่ยงการกินมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มน้ำหนักและโรคอ้วน ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือด
- เลือกโปรตีนไร้มัน:เลือกแหล่งโปรตีนไร้ไขมัน เช่น สัตว์ปีกไร้หนัง ปลา ถั่ว และเต้าหู้ แทนเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง
- จำกัดการบริโภคเกลือ:การบริโภคเกลือในปริมาณมากอาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว พยายามบริโภคโซเดียมให้น้อยกว่า 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน
- รักษาความชุ่มชื้น:ดื่มน้ำปริมาณมากเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำและช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างเหมาะสม
- พิจารณาอาหารเสริม:ในบางกรณี ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณอาจแนะนำอาหารเสริม เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 สเตอรอลจากพืช หรือเส้นใยไซเลี่ยม เพื่อช่วยจัดการระดับคอเลสเตอรอล ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนเริ่มอาหารเสริมใหม่เสมอ
- ติดตามคอเลสเตอรอลของคุณ:ตรวจสอบระดับคอเลสเตอรอลของคุณเป็นประจำและทำงานร่วมกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพเพื่อจัดการพวกมันผ่านการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการใช้ยา หากจำเป็น
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/arteriosclerosis-atherosclerosis/symptoms-causes/syc-20350569
-
https://www.webmd.com/heart-disease/what-is-atherosclerosis
-
https://www.nhlbi.nih.gov/health-topics/atherosclerosis
-
https://www.medicalnewstoday.com/articles/247837
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team