โรคปอดแฟบ (Atelectasis) แตกต่างจากอาการปอดยุบตัว (เรียกว่า Pneumothorax) ปอดที่ยุบตัวเกิดเมื่ออากาศเข้าไปติดอยู่ในช่องว่างระหว่างด้านนอกของปอดกับผนังหน้าอกด้านใน ทำให้ปอดหดตัวหรือยุบลงในที่สุด
หากถุงลมบางส่วนไม่ได้รับอากาศจะเรียกอาการนี้ว่าโรคปอดแฟบ อาการของโรคจะขึ้นกับขนาดของผอดผู้ป่วย
ระบบทางเดินหายใจจะมีท่อแตกแขนงไปทั่วปอดแต่ละข้าง เมื่อหายใจเข้าอากาศจะเคลื่อนจากจมูก ผ่านหลอดลมไปยังลำคอ จากนั้นทางเดินหายใจจะแตกแขนงและมีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ จนสิ้นสุดที่ถุงขนาดเล็กที่เรียกว่าถุงลม
ถุงลมจะช่วยแลกเปลี่ยนออกซิเจนในอากาศเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของเสียจากเนื้อเยื่อและอวัยวะของร่างกาย ในกระบวนการนี้ถุงลมต้องได้รับการเติมอากาศ
แม้ว่าอาการทั้ง 2 จะแตกต่างกัน แต่ Pneumothorax อาการปอดยุบตัวอาจนำไปสู่โรคปอดแฟบได้ เนื่องจากถุงลมยุบตัวลง เมื่อปอดมีขนาดเล็กลง
สาเหตุของโรคปอดแฟบ
สาเหตุของโรคปอดแฟบมีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งใดเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคปอดแฟบ
Obstructive atelectasis: ภาวะปอดแฟบจากการปิดกั้นทางเดินหายใจ อาจเกิดจากภาวะกระดูกพรุนที่ทำให้เกิดการปิดกั้นไม่ให้อากาศเข้าไปที่ถุงลมได้ จึงเกิดการแฟบได้
สิ่งที่สามารถปิดกั้นทางเดินหายใจของคุณ ได้แก่ :
-
การสูดดมวัตถุแปลกปลอม เช่น ของเล่นขนาดเล็กหรืออาหารชิ้นเล็ก ๆ เข้าไปในทางเดินหายใจ
-
เมือกปิดกั้นทางเดินหายใจ (การสะสมของเมือก)
-
เนื้องอกที่เติบโตภายในทางเดินหายใจ
-
เนื้องอกในเนื้อเยื่อปอดที่กดทับทางเดินหายใจ
nonobstructive atelectasis: คืออาการปอดแฟบที่ไม่ได้มาจากการอุดตันในทางเดินหายใจ
สาเหตุที่พบจากอาการนี้ ได้แก่ :- ศัลยกรรม: ปอดแฟบอาจเกิดขึ้นระหว่างหรือหลังขั้นตอนการผ่าตัดใด ๆ ขั้นตอนนี้มักเกี่ยวข้องกับการใช้ยาชา และเครื่องช่วยหายใจ ตามด้วยยาแก้ปวด และยาระงับประสาท สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้การหายใจตื้นขึ้น ทำให้เกิดอาการไอไม่ออกแม้ว่าจะต้องนำอะไรออกจากปอด
- การหายใจไม่ลึกหรือไม่ไออาจทำให้ถุงลมบางส่วนยุบตัวลงได้ หากมีอาการนี้ปรากฎให้ปรึกษาแพทย์เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะหลังการผ่าตัด อาจใช้อุปกรณ์บริหารปอดเพื่อกระตุ้นให้หายใจลึก ๆ
- เยื่อหุ้มปอด: เกิดจากการสะสมของของเหลวในช่องว่างระหว่างเยื่อบุด้านนอกของปอดและเยื่อบุผนังทรวงอกด้านใน โดยปกติเยื่อทั้งสองนี้จะสัมผัสกันอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยให้ปอดขยายตัว การเคลื่อนที่ของของเหลวในเยื่อหุ้มปอดจะทำให้วัสดุบุผิวแยกจากกันและขาดจากกัน ทำให้เนื้อเยื่อยืดหยุ่นในปอดดึงเข้าด้านในและขับอากาศออกไปจากถุงลม
- ภาวะที่มีลมในช่องเยื่อหุ้มปอด: อาการคล้ายกับของเหลวในเยื่อหุ้มปอด แต่เกิดจากการสะสมของอากาศมากกว่าของเหลวระหว่างเยื่อบุปอดและหน้าอก แต่ส่งผลให้เนื้อเยื่อปอดดึงเข้าด้านในและบีบอากาศออกจากถุงลมเหมือนกัน
- ปอดมีแผลเป็น: การเกิดแผลเป็นที่ปอดเรียกอีกอย่างว่าพังผืดในปอด เกิดจากการติดเชื้อในปอดเป็นเวลานาน เช่น วัณโรค การสัมผัสสารระคายเคืองเป็นเวลานานอย่างควันบุหรี่ก็ทำให้เกิดโรคได้ แผลเป็นนี้เกิดขึ้นถาวร และทำให้ถุงลมพองตัวได้ยากขึ้น
- เนื้องอกในทรวงอก: ก้อนหรือการเติบโตใด ๆ ที่อยู่ใกล้ปอดสามารถกดทับปอดได้ ทำให้อากาศบางส่วนออกจากถุงลมจนถุงลมแฟบ
- ขาดสารลดแรงตึงผิว: ถุงลมปอดมีสารที่เรียกว่าสารลดแรงตึงผิวช่วยในการทำงาน หากมีน้อยเกินไปถุงลมจะยุบตัว ภาวะขาดสารลดแรงตึงผิวนี้มีแนวโน้มเกิดในทารกที่คลอดก่อนกำหนด
อาการของโรคปอดแฟบ
อาการปอดแฟบ อาจไม่ปรากฎไปจนถึงอาการที่ร้ายแรงได้ ขึ้นกับว่าปอดของผู้ป่วยได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด และพัฒนาของโรคเป็นอย่างไร หากมีผลกระทบเพียงบางส่วนกับถุงลม หรือเกิดขึ้นช้าผู้ป่วยอาจไม่มีอาการใด ๆ
โรคปอดแฟบเกี่ยวข้องกับถุงลมจำนวนมาก อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อออกซิเจนในเลือดไม่เพียงพอ การมีภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำยังทำให้เกิดอาการ:
-
หายใจลำบาก
-
เจ็บหน้าอกอย่างรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหายใจเข้าลึก ๆ หรือไอ
-
หายใจเร็ว
-
อัตราการเต้นของหัวใจถี่ขึ้นหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
-
ผิวบริเวณริมฝีปาก เล็บ หรือเล็บเท้ากลายเป็นสีฟ้า
บางครั้งอาจเกิดโรคปอดบวม เมื่อปอดได้รับผลกระทบ ผู้ป่วยอาจมีอาการของโรคปอดบวมร่วม เช่น ไอ มีไข้ และเจ็บหน้าอก
การรักษาโรคปอดแฟบ
การวินิจฉัยโรคปอดแฟบ แพทย์จะเริ่มจากการทบทวนประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ตรวจสอบสภาพปอดก่อนมีอาการ หรือเมื่อเข้ารับการผ่าตัดล่าสุด และเพื่อวินิจฉัยส่าปอดของผู้ป่วยทำงานอย่างไร อาจดำเนินการดังนี้:
-
ตรวจระดับออกซิเจนในเลือด ด้วยเครื่องวัดออกซิเจนขนาดเล็กที่พอดีกับปลายนิ้ว
-
ตรวจค่าต่าง ๆ ในเลือด โดยปกติวัดจากเลือดบริเวณข้อมือ เพื่อตรวจสอบระดับออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และเคมีและก๊าซในเลือด
-
เอกซเรย์บริเวณหน้าอก
-
CT scan เพื่อตรวจหาการติดเชื้อ หรือการอุดตันต่าง ๆ เช่น เนื้องอกในปอดหรือทางเดินหายใจ
-
ตรวจหลอดลมด้วยการใส่กล้องที่ปลายท่อบาง ๆ และยืดหยุ่นเข้าทางจมูกหรือปาก เพื่อตรวจสอบในปอด
การรักษาโรคปอดแฟบขึ้นกับสาเหตุและความรุนแรงของอาการผู้ป่วย หากพบปัญหาในการหายใจ หรือรู้สึกว่าได้รับอากาศไม่เพียงพอให้รีบไปพบแพทย์ทันที ผู้ป่วยอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจจนกว่าปอดจะฟื้นตัวและรักษาสาเหตุได้ :
การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด ส่วนใหญ่การรักษาโรคปอดแฟบไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ขึ้นกับสาเหตุ โดยมีวิธีรักษาดังนี้:
กายภาพบำบัดที่ทรวงอก
สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการขยับร่างกายตามตำแหน่งต่าง ๆ ใช้การแตะ สั่น หรือสวมเสื้อกระตุ้นการสั่นเพื่อช่วยคลายและระบายน้ำมูก โดยทั่วไปใช้สำหรับภาวะกระดูกพรุนหรือหลังผ่าตัด การรักษานี้มักใช้ในผู้ที่เป็นโรค Cystic fibrosis ด้วย
Bronchoscopy
แพทย์จะสอดท่อเล็ก ๆ ทางจมูกหรือปากส่งเข้าไปในปอดเพื่อเอาสิ่งแปลกปลอมหรือก้อนเมือกออก นอกจากนี้ยังใช้ตรวจสอบตัวอย่างเนื้อเยื่อที่นำออกมาเพื่อให้แพทย์ใช้วินิจฉัยที่มาของโรค
การฝึกหายใจ
การออกกำลังกายหรือใช้อุปกรณ์อย่างเครื่องวัดแรงกระตุ้น ช่วยกระตุ้นให้หายใจเข้าลึก ๆ และช่วยเปิดถุงลม เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการรับประทานหลังผ่าตัด
การถ่ายเทของเหลว
หากภาวะปอดแฟบเกิดจากภาวะปอดอุดตันเรื้อรังหรือเยื่อหุ้มปอดอักเสบ แพทย์อาจต้องระบายอากาศหรือของเหลวออกจากหน้าอก การกำจัดของเหลวออก ใช้การสอดเข็มผ่านหลังระหว่างซี่โครงและเข้าไปในช่องที่มีของเหลวอยู่ การกำจัดอากาศอาจต้องสอดท่อพลาสติกที่เรียกว่าท่อทรวงอกเพื่อเอาอากาศหรือของเหลวส่วนเกินออก อาจต้องเสียบท่อที่บริเวณทรวงอกคาเอาไว้หลายวันในกรณีที่อาการรุนแรง
การผ่าตัดรักษา
วิธีการรักษาที่ใช้กันน้อยมาก คือการนำเนื้อเยื่อหรือกลีบปอดออกเล็กน้อย มักทำเมื่อตัวเลือกในการรักษาอื่น ๆ ไม่ได้ผล หรือในกรณีที่ปอดมีแผลเป็นแบบถาวร
อาการแทรกซ้อนของโรคปอดแฟบ
โรคปอดแฟบ เป็นภาวะทางการแพทย์ที่มีลักษณะการล่มสลายของปอดหรือส่วนหนึ่งของปอดบางส่วนหรือทั้งหมด เกิดขึ้นเมื่อถุงลมเล็กๆ ภายในปอดแฟบลง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนต่างๆ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาหรือไม่ได้แก้ไขสาเหตุที่แท้จริง ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะโรคปอดแฟบได้แก่:- ภาวะหายใจลำบาก : โรคปอดแฟบอาจส่งผลให้หายใจลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากส่วนสำคัญของปอดได้รับผลกระทบ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ความพยายามในการหายใจที่เพิ่มขึ้นและอาจจำเป็นต้องได้รับออกซิเจนเสริมหรือการช่วยหายใจด้วยกลไกในกรณีที่รุนแรง
- โรคปอดบวม : โรคปอดแฟบสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดบวมได้ เมื่อส่วนหนึ่งของปอดพัง น้ำมูกและของเหลวอาจสะสม ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้แบคทีเรียเจริญเติบโตและทำให้เกิดการติดเชื้อได้
- ภาวะขาดออกซิเจนในเลือด : โรคปอดแฟบอาจทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง (ภาวะขาดออกซิเจน) เนื่องจากพื้นที่ผิวสำหรับการแลกเปลี่ยนออกซิเจนในเนื้อเยื่อปอดที่ได้รับผลกระทบลดลง ภาวะขาดออกซิเจนอย่างรุนแรงอาจทำให้เนื้อเยื่อเสียหายและส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญ
- การติดเชื้อทางเดินหายใจ : ผู้ป่วยที่มีภาวะโรคปอดแฟบ อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจได้ง่ายกว่าเนื่องจากการทำงานของปอดบกพร่อง การติดเชื้อเหล่านี้อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นอีก
- เยื่อหุ้มปอดไหล : ในบางกรณีโรคปอดแฟบอาจเกิดขึ้นหรือรุนแรงขึ้นได้จากการมีเยื่อหุ้มปอดไหล (การสะสมของของเหลวในช่องเยื่อหุ้มปอด) ซึ่งสามารถสร้างแรงกดดันต่อปอดและนำไปสู่การล่มสลายได้
- โรคหลอดลมอักเสบ : ภาวะโรคปอดแฟบเรื้อรังหรือกำเริบสามารถนำไปสู่การพัฒนาของโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเป็นภาวะที่มีลักษณะเฉพาะคือการอักเสบของทางเดินหายใจอย่างต่อเนื่อง
- พังผืดในปอด : ภาวะโรคปอดแฟบในระยะยาวหรือรุนแรงสามารถนำไปสู่การเกิดพังผืดในปอดได้ ซึ่งเนื้อเยื่อปอดจะมีแผลเป็นและทำงานได้น้อยลง
- ระบบหายใจล้มเหลว : ในกรณีที่รุนแรง ภาวะโรคปอดแฟบ อาจส่งผลให้ระบบหายใจล้มเหลว โดยที่ปอดไม่สามารถให้ออกซิเจนเพียงพอแก่เนื้อเยื่อของร่างกาย และกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างเพียงพอ
สรุปภาพรวมโรคปอดแฟบ
อาการปิดแฟบที่ไม่รุนแรงมักไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตและมักหายได้อย่างรวดเร็วเมื่อรับการรักษาแล้ว
โรคปอดแฟบที่มีผลต่อปอดรุนแรงหรือรวดเร็วมักเกิดจากภาวะที่คุกคามถึงชีวิต เช่น การอุดตันของทางเดินหายใจ หรือเมื่อของเหลวหรืออากาศจำนวนมากบีบอัดปอดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/atelectasis/symptoms-causes/syc-20369684
-
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/17699-atelectasis
-
https://www.nhlbi.nih.gov/health-topics/atelectasis
-
https://www.webmd.com/lung/atelectasis-facts