ยาแก้แพ้ (Antihistamines) คืออะไร
โดยส่วนใหญ่แล้วเราจะใช้ยาแก้แพ้ต่อเมื่อมีอาการแพ้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาการผื่นคันตามผิวหนัง อาการจาม คัดจมูก หรือภูมิแพ้อื่น ๆ บางชนิด ยาแก้แพ้มีมีกี่ประเภท ยาแก้แพ้ที่เหมาะสมมีหลากหลายชนิด แต่เราสามารถแบ่งออกได้ง่ายๆ ดังนี้ประเภทที่ 1
ยาแก้แพ้ชนิดรับประทานประเภทที่ 1 รวมไปถึงยาไดเฟนไฮดรามีน (เบนาดริล)และ คลอเฟนิรามีน (คลอ-ไทรม์ทอน) ซึ่งสามารถข้ามแนวกั้นเลือดและสมองได้ง่ายและส่งผลต่อตัวรับ H1 ในระบบประสาทส่วนกลาง ตัวรับ H1 ในระบบส่วนกลางจะช่วยควบคุมวงจรการตื่นการหลับของร่างกาย โดยชนิดนี้มีคุณสมบัติเป็นยากล่อมประสาท ด้วยการไปจับตัวรับในระบบประสาทส่วนกลาง ยาแก้แพ้ประเภทที่ 1 สามารถทำให้ความสามารถในการคิด และเข้าใจ กำลังกล้ามเนื้อแย่ลง และทำให้รู้สึกง่วงนอน ผลข้างเคียงรุนแรงที่มีจากยาแก้แพ้ประเภทที่ 1 มีดังต่อไปนี้- ง่วงนอน
- ปากแห้ง
- มึนศีรษะ
- ความดันเลือดต่ำ
- ตับเสียหายเฉียบพลัน
- บรอมเฟนิรามีน (Dimetane)
- คาร์บินน็อกซามีน (Clistin)
- คลีมาสทีน (Tavist)
- ดอกซีลามีน (Unisom)
- ไฮดรอกไซซีน (Atarax, Vistaril)
- โปรเมทาซีน (Phenergan)
- ไตรโพรลิดีน (Triafed)
ประเภทที่ 2 และ 3
ยาแก้แพ้ประเภทที่ 2 และ 3 ไม่มีคุณสมบัติของยากล่อมประสาท ตามบทความในสื่อสิ่งพิมพ์ของ National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases ว่าไว้ว่า ยาแก้แพ้ประเภทที่ 2 และ 3 มีแนวโน้มจะข้ามแนวกั้นเลือด และสมองได้น้อยกว่า ซึ่งนั้นหมายความว่ายาพวกนี้ไม่ส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลางเหมือนประเภทที่ 1 ยาแก้แพ้นี้มีความปลอดภัยในการใช้สำหรับผู้ใหญ่ และเด็กที่อายุ 12 ปี ขึ้นไป ตามที่รีวิวไว้ในปี 2019 ยาแก้แพ้รุ่นที่สองและสามมีความปลอดภัยกว่า และมีศักยภาพมากกว่ารุ่นหนึ่ง ตัวอย่างยาต้านฮีสตามีนประเภทที่ 2 และ 3 เช่น- บิลาสทีน (Bilaxten)
- เดสลอราทาดีน (Clarinex)
- ลอราทาดีน (Claritin)
- เฟกโซเฟนาดีน (Allegra)
- รูพาทาดีน (Rupafin)
แบบซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
เราสามารถหาซื้อยาแก้แพ้ได้หลากหลายตามร้านขายยาแถวบ้าน ยาแก้แพ้มีรูปแบบที่แตกต่างกันหลายแบบ เช่นแบบเม็ด เจลแคปซูล สเปรย์พ่นจมูกและยาหยอดตา ชนิดของยาแก้แพ้ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปเช่น- เบเนดริล
- คลอ-ไทรม์ทอน
- คลาริทิน
- อัลเลกรา
- ซีร์เทค
แบบที่ต้องมีใบสั่งแพทย์
ยาแก้แพ้บางชนิดใช้ได้เฉพาะต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้น ยาแก้แพ้ที่ต้องมีใบสั่งแพทย์อาจมีส่วนผสมที่เข้มข้นสูงกว่ายาชนิดที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ยาแก้แพ้บางตัวอาจต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้นเพราะมีความเสี่ยงให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ ตัวอย่างยาต้านฮีสตามีนที่ต้องมีใบสั่งแพทย์เช่น- อะเซลาสทีน (Astelin, Astepro และ Optivar)
- คาร์บินน็อกซามีน (Palgic)
- เดสลอราทาดีน (Clarinex)
- ไฮดรอกไซซีน (Atarax และ Vistaril)
- เลโวเซทิริซีน (Xyzal)
- โปรเมทาซีน (Phenergan)
ยาทำงานอย่างไรและได้ผลอย่างไร
คนที่มีอาการแพ้คือเมื่อไปสัมผัสกับสสารที่ไม่ก่อเกิดอันตราย แต่ร่างกายกลับแปลความว่ากำลังถูกเชื้อโรครุกราน สารก่อภูมิแพ้คือสารตัวหนึ่งที่ไปกระตุ้นปฏิกิริยาการแพ้ ซึ่งรวมไปถึงทุกอย่างจากขนสัตว์และละอองเกสรไปจนถึงโปรตีนบางชนิดที่พบได้ในอาหาร เมื่อสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายหรือสัมผัสกับผิว เซลล์ในระบบภูมิต้านทานจะปล่อยสารฮีสตามีนออกมา ซึ่จะไปจัับกับตัวรับพิเศษที่อยู่ในเซลล์ที่พบเจอได้ตลอดทั่วร่างกาย เมื่อสารฮีสตามีนไปจับกับตัวรับเมื่อใด มันก็จะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ได้หลายรูปแบบ เช่นทำให้หลอดเลือดขยายตัวและเป็นสาเหตุทำให้เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อเรียบมีการหดตัว Antihistamines คือ ยาแก้แพ้ที่นำมาไว้รักษาอาการแพ้ ภาวะป่วยจากการเคลื่อนไหวและอาการโรคหวัดและไข้หวัดบางอาการ ยาต้านฮีสตามีนจะไปปิดกั้นตัวรับฮิสตามีน H1อาการอย่างไรควรได้รับการรักษา
เราสามารถใช้ยาต้านฮีสตามีนเพื่อรักษาโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการอักเสบในจมูก ยาแก้แพ้สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ในวงกว้าง เช่น ยาแก้แพ้กินตอนไหนดี ยาแก้แพ้มีสองกลุ่ม คือกลุ่มรุ่นหนึ่งและรุ่นสองและสาม ความต่างคือ เป็นยาแก้แพ้แบบง่วงกับยาแก้แพ้แบบไม่ง่วง ห้ามรับประทานร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือใช้เครื่องจักร ควรรับประทานยาแก้แพ้วันละ 2-4 ครั้ง ห่างกัน 6 ชั่วโมง ในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 4 ปี รับประทานแบบชนิดน้ำเชื่อม เด็กอายุ 4-7 ทานครั้งละ 1 ใน 4 ของเม็ด เด็กอายุ 7-12 ปีทานครั้งละครึ่งเม็ดผลข้างเคียงยาแก้แพ้ และความเสี่ยง
คนที่รับประทานยาแก้แพ้หรือยาทุกชนิดควรอ่านฉลากเพื่อดูส่วนผสมที่เป็นส่วนประกอบในยาเพื่อหลีกเลี่ยงการรับประทานยาเกิดขนาด หากรับประทานยาแก้แพ้ที่มียากล่อมประสาท อาจทำให้หัวใจทำงานผิดปกติหรืออาการชัก คนส่วนใหญ่สามารถรับประทานยาแก้แพ้ที่มีปริมาณต่ำทั้งแบบหาซื้อได้เองและแบบมีใบสั่งแพทย์ได้อย่างปลอดภัยในช่วงเวลาสั้นๆ แต่อย่างไรก็ตาม ยาแก้แพ้ก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดผลข้างเคียงเล็กน้อยในบางคนได้ อาการอาจมีดังนี้:- อ่อนเพลีย
- วิงเวียนศีรษะ
- ปวดศีรษะ
- สูญเสียการทำงานของกล้ามเนื้อ
- ปากแห้งหรือกระหายน้ำมากกว่าปกติ
- สายตามัว
- ท้องผูก
- ปัสสาวะไม่ออก
- ลมพิษ
- ผื่นผิวหนัง
- หายใจหรือการกลืนมีปัญหา
- บวมบริเวณใบหน้า ปากหรือคอ
- ภาวะสับสนเฉียบพลัน
ข้อควรระวังในการใช้ยาแก้แพ้
ยาแก้แพ้เป็นยาประเภทหนึ่งที่ใช้กันทั่วไปในการจัดการกับอาการแพ้และบรรเทาอาการต่างๆ เช่น จาม อาการคัน และน้ำมูกไหล แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วยาแก้แพ้จะถือว่าปลอดภัยเมื่อใช้ตามคำแนะนำ แต่ก็มีข้อควรพิจารณาที่สำคัญและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นที่ต้องระวัง:ประเด็นสำคัญที่ต้องระวังเมื่อใช้ยาแก้แพ้:
- อาการง่วงนอน:
-
-
- สิ่งที่ต้องระวัง:ยาแก้แพ้บางชนิด โดยเฉพาะยารุ่นแรก อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึมและระงับประสาทได้ สิ่งนี้อาจทำให้ความสามารถในการขับขี่หรือใช้เครื่องจักรลดลง
-
- ปฏิกิริยาระหว่างยา:
-
-
- สิ่งที่ต้องระวัง:ยาแก้แพ้สามารถมีปฎิกริยากับยาอื่นๆ ซึ่งอาจเพิ่มหรือลดผลกระทบของยาได้ แจ้งผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณเกี่ยวกับยาทั้งหมด รวมถึงยาที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์และอาหารเสริม ปรึกษากับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพหรือเภสัชกรของคุณเพื่อตรวจสอบปฏิกิริยาระหว่างยาที่อาจเกิดขึ้นก่อนเริ่มใช้ยาใหม่
-
- การขับขี่และการใช้เครื่องจักร:
-
-
- สิ่งที่ต้องระวัง:อาการง่วงนอนที่เกิดจากยาแก้แพ้บางชนิดอาจทำให้การทำงานของการรับรู้และการเคลื่อนไหวลดลง หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องตื่นตัวจนกว่าคุณจะรู้ว่ายาแก้แพ้บางชนิดส่งผลต่อคุณอย่างไร หากคุณมีอาการง่วงนอน ให้พิจารณารับประทานยาแก้แพ้ในตอนเย็นหรือก่อนนอนเพื่อลดผลกระทบต่อกิจกรรมประจำวัน
-
- ปฏิกิริยาระหว่างแอลกอฮอล์:
-
-
- สิ่งที่ควรระวัง:การใช้ยาแก้แพ้ร่วมกับแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะยาที่ทำให้เกิดอาการง่วงนอนร่วมกับแอลกอฮอล์อาจเพิ่มความใจเย็นและทำให้การประสานงานบกพร่องได้
-
- ปากแห้งและท้องผูก:
-
-
- สิ่งที่ต้องระวัง:ยาแก้แพ้อาจทำให้ปากแห้ง และในบางกรณี อาจมีอาการท้องผูกเนื่องจากมีฤทธิ์ต้านโคลิเนอร์จิค
-
- การตั้งครรภ์และให้นมบุตร:
-
-
- สิ่งที่ต้องระวัง:ยาแก้แพ้บางชนิดอาจถือว่าปลอดภัยในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ในขณะที่ยาบางชนิดอาจมีความเสี่ยง ปรึกษาแพทย์ของคุณก่อนใช้ยาแก้แพ้หากคุณกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร พวกเขาสามารถแนะนำตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดตามสถานการณ์ส่วนบุคคลของคุณ
-
- เด็กและผู้สูงอายุ:
-
-
- สิ่งที่ต้องระวัง:ปริมาณและข้อควรพิจารณาด้านความปลอดภัยอาจแตกต่างกันไปในเด็กและผู้สูงอายุ ปฏิบัติตามแนวทางการให้ยาที่เหมาะสมกับวัยเสมอ
-
- เงื่อนไขทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง:
-
- สิ่งที่ต้องระวัง:บุคคลที่มีอาการป่วยบางอย่าง เช่น โรคต้อหิน ต่อมลูกหมากโต หรือปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด อาจจำเป็นต้องใช้ยาแก้แพ้ด้วยความระมัดระวัง
บทสรุป
แพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ใช้ยาแก้แพ้รุ่นที่สองหรือสามในการรักษาอาการแพ้ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงปานกลาง รวมไปถึงอาการคัดจมูก น้ำตาไหลและอาการคันผิวหนัง พ่อแม่และผู้ดูแลอาจต้องการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการให้ยาแก้แพ้เด็ก โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปีนี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.nhs.uk/conditions/antihistamines/
- https://my.clevelandclinic.org/health/drugs/21223-antihistamines
- https://medlineplus.gov/ency/patientinstructions/000549.htm
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น