Acyclovir คืออะไร
อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) คือ ยาที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส ช่วยชะลอการเติบโต และแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ (Herpes Virus) เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคเริม งูสวัด และโรคอีสุกอีใส เป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ และไม่ควรใช้เป็ยระยะเวลานานเกินไป เนื่องจากเป็นยาที่มีผลข้างเคียง สตรีมีครรภ์สามารถใช้รักษาอาการได้ แต่สตรีที่กำลังให้นมบุตรควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อพิจารณาความจำเป็นในการรักษาตัวอย่างยา Acyclovir ที่พบในท้องตลาด
ยาอะไซโคลเวียร์ คือชื่อสามัญของยาที่มีชื่อทางการค้า ดังนี้ Acyvir, A.C.V., Azovax, Clinovir, Clovin, Clovira, Colsor, Covir, Cyclorax, Declovir, Entir, Falerm, Vivir, Vizo, Zevin, Zocovin, zovirax เป็นต้นAcyclovir ใช้รักษาโรคใดบ้าง
- ใช้บรรเทาอาการ และช่วยให้การรักษาแผล หรือตุ่มน้ำพอง ในผู้ป่วยโรคอีสุกอีใส หรือผู้ป่วยโรคงูสวัดหายเร็วขึ้น
- ใช้รักษาเริมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ผิวหนัง ตา จมูก ริมฝีปาก หรืออวัยวะเพศ รักษาได้ทั้งผู้ป่วยที่เป็นครั้งแรก หรือผู้ป่วยที่กลับมาเป็นซ้ำ
- ใช้รักษาภาวะอักเสบจากโรคผิวหนังในลักษณะของผื่นแดง
- ใช้รักษาผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคแฮรีลิวโคพลาเกีย (Hairy leukoplakia)
รูปแบบยา Acyclovir
- ยาเม็ด มีขนาดของยา 200, 400 และ 800 มิลลิกรัม
- ยาแคปซูล
- ยาน้ำ
- ยาครีม มีความเข้มข้น 5%
- ยาแบบขี้ผึ้ง มีความเข้มข้น 3%
- ยาสำหรับฉีดเข้าหลอดเลือด มีขนาดความเข้มข้น 25 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร
สรรพคุณของยาอะไซโคเวีย
Acyclovir คือยาต้านไวรัสที่มักถูกใช้ป้องกัน และรักษาโรคเริม (Herpes simplex) ที่แสดงอาการตามอวัยวะต่าง ๆ ทั้งริมฝีปาก อวัยวะเพศ หรือแม้แต่บริเวณเยื่อหุ้มสมอง (ไวรัสเยื่อหุ้มสมองอักเสบ) และใช้เพื่อการรักษา และบรรเทาอาการของโรคงูสวัด (Herpes zoster) และโรคอีสุกอีใส (Chicken pox) ด้วย นอกจากนี้ยังใช้รักษาโรค Eczema Herpeticum และโรคฝ้าขาวที่ข้างลิ้น (Hairy leukoplakia) ด้วย กรณีต้องการใช้ยานี้รักษาโรค หรืออาการอื่น ๆ ควรสอบปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาการใช้ยา Acyclovir
Acyclovir ยาที่ใช้ภายใต้คำแนะนำ และใบสั่งของแพทย์เท่านั้น ไม่ควรใช้ยาในปริมาณที่มาก หรือน้อยกว่าที่แพทย์กำหนด ยานี้สามารถใช้ได้ทันทีที่เกิดอาการของโรคจากไวรัส เช่น เกิดตุ่มน้ำ รู้สึกแสบร้อน หรือเจ็บแปลบ ๆ เหมือนเข็มตำที่ผิวหนัง ปริมาณการใช้ยานั้น แพทย์จะพิจารณาจากน้ำหนักตัวของผู้ป่วย หากผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวเปลี่ยนควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อปรับปริมาณยาให้เหมาะสม ในระหว่างการใช้ยา ผู้ป่วยควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อสนับสนุนให้ไตสามารถทำงานได้ตามปกติ ควรใช้ยาที่แพทย์กำหนดให้ครบตามระยะเวลาที่กำหนดด้วย เพราะบางครั้งแม้ว่าอาการของโรคจะดีขึ้น แต่ก็อาจมีเชื้อหลงเหลืออยู่ได้ และมีโอกาสที่จะเป็นซ้ำได้ จึงต้องรับประทานยาให้ครบ นอกจากนี้ไม่ควรใช้ยารักษาการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ เช่นไข้หวัด เป็นต้น Acyclovir ยาที่สามารถใช้ได้กับสตรีมีครรภ์ แต่ก่อนใช้ยาผู้ป่วยต้องรับทราบประโยชน์ และความเสี่ยงของการใช้ยาที่มีต่อทารกในครรภ์ด้วย เพื่อให้ผู้ป่วยได้เปรียบเทียบ และประกอบการตัดสินใจ กรณีสตรีที่กำลังให้นมบุตร แนะนำให้หลีกเลี่ยง เพราะตัวยาชนิดนี้สามารถปนเปื้อนไปกับน้ำนมแม่ได้ การเก็บรักษายาควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง ไม่สัมผัสความชื้น และความร้อน หากพบว่ายามีลักษณะที่ผิดปกติ ควรหยุดใช้และไปพบแพทย์ในทันทีข้อควรระวังในการใช้ยา Acyclovir
- ห้ามใช้กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการallergy-0094/”>แพ้ยาชนิดนี้ หรือยาในกลุ่มเดียวกัน เช่นยาวาลาไซโคลเวียร์
- ห้ามแบ่งยากับผู้อื่น
- ห้ามใช้ หรือกินยาที่หมดอายุ
- ควรระมัดระวังการใช้ยานี้กับหญิงตั้งครรภ์ หญิงที่กำลังให้นมบุตร และผู้ที่มีภาวะการทำงานของตับ หรือไตบกพร่อง
Acyclovir ผลข้างเคียง
- ท้องเสีย หรือท้องร่วง
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดหัว
- วิงเวียนศีรษะ
- เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า
- ปวดตามกล้ามเนื้อ หรือข้อ
- การมองเห็นมีปัญหา
- น้ำคั่งตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
- ผมร่วง
- งุนงง สับสน
- พฤติกรรมมีความเปลี่ยนแปลงบางประการ
- ผื่นขึ้นเป็นจำนวนมาก เกิดลมพิษ หรือมีผื่นในลักษณะตุ่มน้ำ และแผลถลอก
- ผิวหนัง หรือดวงตากลายเป็นสีเหลือง
- มีเลือดออกมากผิดปกติ หรือรอยฟกช้ำตามร่างกาย
- ภาวะชักเกร็ง
- หมดสติ
- บวมตามใบหน้า ริมฝีปาก หรือลิ้น
- หายใจลำบาก
- ปัสสาวะลดลง หรือมีเลือดปะปนในปัสสาวะ
- ง่วงนอนอย่างรุนแรง หรือเกิดภาวะสับสน
- เห็นภาพหลอน
- เหน็บชา และเดินเซ
ยาอะไรที่สามารถใช้แทน acyclovir ได้บ้าง
อะไซโคลเวียร์เป็นยาต้านไวรัสที่ใช้กันทั่วไปในการรักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสเริม (HSV) รวมถึงเริมที่อวัยวะเพศ เริม และงูสวัด สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าการเปลี่ยนหรือเปลี่ยนยาควรทำภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเสมอ เนื่องจากพวกเขาสามารถพิจารณาสภาวะทางการแพทย์ ประวัติ และปฏิกิริยาระหว่างยาที่อาจเกิดขึ้นได้ ต่อไปนี้เป็นยาต้านไวรัสทางเลือกที่อาจพิจารณาได้:- วาลาซิโคลเวียร์ (Valtrex):
-
-
- Valacyclovir เป็นผลิตภัณฑ์ของ acyclovir ซึ่งหมายความว่าจะเปลี่ยนเป็น acyclovir ในร่างกาย มักถูกกำหนดให้มีข้อบ่งใช้เช่นเดียวกับอะไซโคลเวียร์ แต่โดยทั่วไปจะรับประทานน้อยกว่าเนื่องจากมีระยะเวลาการออกฤทธิ์นานกว่า
-
- แฟมซิโคลเวียร์ (แฟมเวียร์):
-
-
- Famciclovir เป็นอีกหนึ่งยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโรคเริม เช่นเดียวกับวาลาไซโคลเวียร์ มันถูกแปลงเป็นรูปแบบที่ออกฤทธิ์ (เพนซิโคลเวียร์) ในร่างกาย Famciclovir ใช้รักษาโรคเริมที่อวัยวะเพศ งูสวัด และเริม
-
- เพนซิโคลเวียร์ (เดนาเวียร์):
-
-
- Penciclovir มีจำหน่ายในรูปแบบครีมเฉพาะที่ และใช้สำหรับการรักษาเริมที่เป็นซ้ำ (เริมริมฝีปาก) มันออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการจำลองแบบของไวรัส
-
- โดโคซานอล (Abreva):
-
-
- โดโคซานอลเป็นครีมต้านไวรัสที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ (OTC) ใช้ทาเพื่อรักษาเริม อาจไม่แรงเท่ายาที่ต้องสั่งโดยแพทย์ แต่สามารถช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการได้
-
- อาหารเสริมไลซีน:
-
-
- บุคคลบางคนใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไลซีนเพื่อจัดการและป้องกันการระบาดของโรคเริม ไลซีนเป็นกรดอะมิโนที่อาจรบกวนการจำลองแบบของไวรัสเริม อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับประสิทธิภาพของไลซีนผสมกัน และสิ่งสำคัญคือต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
-
- ครีมต้านไวรัสเฉพาะที่:
-
- นอกจากเพนซิโคลเวียร์แล้ว ยังมีครีมต้านไวรัสเฉพาะที่อื่นๆ ที่ใช้รักษาเริมได้ ซึ่งอาจรวมถึงครีมที่มีสารต้านไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์หรือเพนซิโคลเวียร์
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.webmd.com/drugs/2/drug-941/acyclovir-oral/details
- https://medlineplus.gov/druginfo/meds/a681045.html
- https://www.nhs.uk/medicines/aciclovir/
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น